โฆษกนายกฯ โต้แถลงการณ์ “แม้ว” ซ้ำซาก ท่องคาถานักประชาธิปไตย ยืนยันไม่ได้ตกเป็นเหยื่อรัฐบาล แต่เป็นตัวการทำลายชาติ จับตา “อดิศร” ประกาศเปิดทีวีแดง-ชมพู หวังส่งสัญญาณไถ่เงินนายใหญ่ 200 ล.แขวะแกนนำเสื้อแดงติด “ไข่หวัดแม้ว” งอมแงม แนะใช้ “พาราเซตตามาร์ค” แก้ไข้
วันนี้ (3 พ.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตนดูเนื้อหาแล้วเป็นเรื่องเดิมๆ แต่ที่จำเป็นต้องชี้แจง คือ กรณีที่กล่าวหารัฐบาลว่าพยายามสร้างกระแสข่าวโจมตีตนเอง อย่างเป็นระบบและใส่ร้ายว่าอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงรัฐบาลไม่ได้ใส่ร้าย และหรือมีการสร้างข่าวอย่างเป็นระบบ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของอดีตนายกฯ ทำให้สังคมและประชาชนรับรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องใส่ร้าย
นายเทพไท กล่าวว่า นอกจากนี้ ในคำแถลงการณ์ยังอ้างถึงความเป็นประชาธิปไตยเกินกว่า 10 คำ อย่าง ฟุ่มเฟือย และพร่ำเพรื่อ โดยพยายามพูดแบบหายใจเข้าออกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจความหมายมากน้อยแค่ไหน และทัศนคติต่อประชาธิปไตย คืออะไร หรือ ทัศนคติของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครมีเงินสามารถซื้อเสียงได้เต็มที่ ใครมีอำนาจโกงได้เต็มที่ใช่หรือไม่ การที่อ้างว่าตนเองไม่ได้อยู่เบื้องหลังกลุ่มเสื้อแดง แต่บอกว่าเสียงปืนแตกเมื่อไหร่จะกลับมานำหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมทันที และหากทหารทำร้ายประชาชน ตัวเองก็จะเข้ามาเป็นผู้นำประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯทันที จึงอยากให้คำพูดเหล่านี้สะท้อนกลับไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ อีกครั้ง และที่บอกว่าตนเองเป็นเหยื่อให้รัฐบาลใส่ร้ายเพื่อหวังผลทางการเมือง ขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เหยื่อแต่เป็นตัวการตัวจริง
นายเทพไท กล่าวถึงกรณี นายอดิศร เพียงเกษ ผอ.ดีสเตชั่น ประกาศจะจัดตั้งทีวีสีแดง และทีวีสีชมพู ว่า การที่จะขอเปิดสถานีกี่ช่องไม่สำคัญ แต่ขอให้ดูเงื่อนไขข้อกฎหมายว่าสามารถเปิดได้หรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นการทำสงครามสื่ออย่างเต็มรูปแบบ และเปิดแนวรบของคนเสื้อแดงอีกด้าน โดยให้แกนนำรุ่น 2 มาทำหน้าที่ทดแทน “สามเกลอหนึ่งเกย์ หรือ สามกลมหนึ่งแบน” ทั้งนี้ อยากให้มีการตรวจสอบเงินทุนที่จะนำมาเปิดสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ด้วย เพราะเนื่องจากการเปิดสถานีพีทีวีครั้งที่ผ่านมา ต้องขาดทุนไปกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น การขอเปิดสถานีโทรทัศน์ 2 ช่อง เป็นการส่งสัญญาณไปถึงนายใหญ่ว่า ต้องการเงินทุนมากกว่า 200 ล้านบาท
ส่วนการที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ประกาศจะไม่เคลื่อนไหวมวลชนมาขัดขวางการประชุม รมต.สาธารณสุขอาเซียน วันที่ 7-8 พ.ค.ว่า หากเป็นจริงอย่างที่พูดก็ขอขอบคุณ เพราะเป็นการช่วยกันแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ่ใหม่ 2009 แต่ก็ขอให้รักษาสัจจะด้วย เพราะที่ผ่านมาเคยบอกว่าจะไม่ไปขัดขวางการประชุมที่หัวหิน แต่กลับพาคนไปปิดล้อมที่พัทยาจนสร้างความเสียหายมากมาย
“ที่บอกว่า ไข้หวัดหมูเป็นมหันตภัยทำลายล้างชาวโลก แต่ไม่ร้ายแรงเท่ากับ “ไข้หวัดมาร์ค” นั้น ผมขอยืนยันว่า ไม่มีไข้หวัดมาร์ค มีแต่ “ไข้หวัดแม้ว” ที่ตอนนี้แกนนำเสื้อแดง ติดกันงอมแงมอย่างโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งวิธีการแก้คือต้องใช้ “พาราเซตามาร์ค” หรือยาเม็ดมาร์ค ถึงจะหาย เพราะสังคมไทยได้ให้โอกาสนายอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) มากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับผลเอแบคโพลล์ ที่ระบุว่า ไม่อยากให้นายกฯยุบสภา หรือลาออก แสดงว่าสังคมยังให้โอกาส ดังนั้น อยากเสนอให้ทุกบ้านติดยาเม็ดมาร์คไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน เพื่อป้องกันไข้หวัดแม้ว”
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ยังได้กล่าวถึงการที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุถึงแผนการ “ขวาพิฆาตซ้าย” โดยเชื่อมโยงว่ารัฐบาลกับทหารได้ปลุกผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมานั้น ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพราะเชื่อว่าผีคอมมิวนิสต์อยู่ในหลุมหมดแล้วไม่สามารถขุดขึ้นมาได้ แต่ยังมีแกนนำเสื้อแดงบางคนพยายามสร้างกระแส โดยการใส่ชุดทหารป่าปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย เข้าไปมอบตัว เพื่อให้เห็นว่าลัทธินี้ยังมีอยู่ แล้วก็มีการออกมารับลูกว่ามีขบวนการขวาพิฆาตซ้าย ทั้งที่ความจริงไม่มี มีแต่เป็นกลาง แต่ถ้าจะมีฝ่ายซ้ายในกลุ่มคนเสื้อแดงบ้าง ก็เป็นแค่พวกฝ่ายซ้ายไร้เดียงสา
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ในฐานะกรรมการบริหารพรรค กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองว่า ตนมีข้อเสนอไปยังคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด คือ 1.ให้เปิดใจกว้าง มีสติรับฟัง โดยตั้งเป้าหมายร่วมกันคือ ต้องนำพาประเทศไปสู่ความสงบสุข 2.ให้ทุกฝ่ายรับฟังซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่กระบวนการกรั่นกรอง 3.ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามต้องเตรียมข้อเสนอของตัวเอง เพราะทุกข้อเสนอจะนำไปสู่การปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การทำประชามติ นอกจากนี้ ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย มีเหตุมีผล
ส่วนกรณีที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ออกมาคัดค้านการตั้ง นายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ว่า ยังไม่พบเหตุผลที่ชัดเจนของ นายวรวัจน์ ว่าคัดค้านเพราะอะไร ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้นายวรวัจน์รับฟังคนอื่นบ้าง การแสดงอาการแบบนี้เหมือนเป็นคนส่วนน้อยที่มีเจตนาล้มคนส่วนใหญ่ ถ้าไม่ฟังคนอื่น ก็ขอให้ฟังคนในพรรคเดียวกันอย่างนายวิทยา บูรณะศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ที่ระบุว่าจะไม่มีการคัดค้านอะไรจนกว่าความไม่เป็นธรรมจะเกิดขึ้น ดังนั้น อยากให้นายวรวัจน์อยู่ในระเบียบวินัยของพรรค และนึกถึงประเทศชาติ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไปศุ่ความสงบสุข อย่านึกถึงบุลคลใดบุคคลหนึ่ง