“กองทัพ” เตรียมสรุปบทเรียนสลายม็อบแดงถ่อย มุ่งเน้นมาตรการรักษาความปลอดภัย เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ พร้อมทบทวนการใช้อาวุธ หวั่นกระสุนเปล่าอาจใช้ไม่ได้ผลในอนาคต ย้ำไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงต่อประชาชน ปฏิบัติการสามเหลี่ยมดินแดงใช้แก๊สน้ำตาก่อน ระบุหน้าที่ปราบจลาจลเป็นของตำรวจ แต่ต้องเตรียมพร้อมหากใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก
ที่กระทรวงกลาโหม วันที่ 30 เม.ย. พล.ต.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า จากสถานการณ์ความไม่เรียบร้อยจาการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 เม.ย.52 ที่ผ่านมาจนเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย รัฐบาลจึงได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ทหารต้องเข้าไปแก้ไขสถานการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการปฏิบัติด้วยความสุขุมรอบคอบและระมัดระวังไม่มีเหตุความรุนแรงเป็นไปตามหลักสากล
“แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการกล่าวหาว่าทหารใช้ความรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม ใช้กระสุนจริงในการสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้กองทัพเน้นมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะดานข้อมูลข่าวสารและพิจารณาจัดหายุทโธปกรณ์ เช่น โล่ กระบอง หมวก โดยเฉพาะกระสุนยางแทนกระสุนแบลงก์ ที่อาจจะใช้ไม่ได้ผลในอนาคตรวมทั้งให้นำเหตุการณ์ในครั้งนี้มารวบรวมจัดทำในลักษณะเป็นบทเรียนจาการปฏิบัติ เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์เตรียมการและพัฒนาหนทางปฏิบัติ ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองและสร้างความสงบเรียบร้อย”
พล.ต.จิตตสักก์ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ก็ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ของคนในชาติ คือ การปลูกฝังความรัก ความสามัคคีของครอบครัวให้เชื่อมั่นในกองทัพ การทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอโดยอาศัยกลไกของกองทัพที่ใกล้ชิดกับประชาชน ส่วนในด้านต่างประเทศของให้กองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพแจ้งให้ผู้ช่วยทูตทหารได้ทำความเข้าใจกับมิตรประเทศและประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ
จากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า ที่ประชุมได้สั่งการให้เหล่าทัพจัดสัมมนาเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมว่า ที่ทำไปแล้วมีข้อผิดพลาดที่จะต้องดำเนินการเพื่อที่จะให้เป็นสากล และได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศได้อย่างไร จึงให้เหล่าทัพไปจัดสัมมนาว่าการสลายการชุมนุมมีข้อผิดพลาดอย่างไร และควรจะดำเนินการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกฎหมาย ยุทโธปกรณ์ ขั้นตอนในการปฏิบัติต่อการสลายฝูงชน เมื่อผลการสัมมนาออกมาก็จะนำเสนอต่อรัฐบาล โดยคงจะทำให้เร็วที่สุดเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่อยุทโธปกรณ์ เพราะเราไม่มี และที่มีใช้ก็เป็นอาวุธประจำกายของหน่วยเท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะกับการนำมาสลายการชุมนุม ทั้งนี้ อยากให้เข้าใจว่า ผบ.เหล่าทัพ ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงกับประชาชน ที่ได้ดำเนินการไปตรงสามเหลี่ยมดินแดนก็ทำตามหลักสากลมีการใช้แก๊สน้ำตาก่อน และก็ไม่ได้เกิดอันตรายมาก นอกนั้นก็เป็นการรุก
“จริงอยู่ว่าหน้าที่หลักในการสลายฝูงชนเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผลการสัมมนาจะได้นำไปเตรียมการในอนาคตหากมีการ ประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลได้ใช้ทหารเข้าไปช่วยเหลืออีก ก็จะต้องทำให้ ถึงแม้ว่ากองทัพบกจะมีหน่วยปราบจลาจลอยู่แล้วแต่ก็มีเพียง 1 กองร้อย ไม่ได้มีกำลังมากมายขนาดนั้น ถ้าสลายฝูงชน 20-50 คนก็สามารถใช้กำลัง 1 กองร้อยได้ ไม่เป็นไร”
เมื่อถามว่า หน้าที่การสลายฝูงชนเป็นของตำรวจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถูกต้อง แต่เมื่อมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินและรัฐบาลใช้ทหาร แต่ถ้าไม่ใช้ก็ไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องทำเพราะหน้าที่นี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของทหารอยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเสนอยุทโธปกรณ์ให้กับทหารเพิ่มเติม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็แล้วแต่ ถ้ารัฐบาลไม่ต้องการใช้ทหารก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าเราทำมาแล้วก็เสนอ ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพ ก็เห็นด้วยและอยากที่จะให้เป็นภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ไม่มีความจำเป็นที่กองทัพจะต้องสร้างหน่วยงานในการปราบจลาจล แต่ต้องให้เป็นบทเรียนว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ กองทัพจะต้องเตรียมการอย่างไร
พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงสภาตั้งกระทู้สดถามเรื่องการเสียชีวิตของพลทหารในบ้านของ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ว่า ได้ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เป็นผู้ตอบคำถาม ส่วนความคืบหน้าในเรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ชี้แจงไปและไม่มีนัยอะไรทั้งสิ้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบและสืบสวนสอบสวน ส่วนจะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่นั้นต้องไปคิดเอาเอง
“เท่าที่ได้คุยกับแพทย์ ท่านบอกว่าพลทหารมีกะโหลกเหนือท้ายทอยบาง พอกระทบของแข็งก็แตกร้าว ถ้าอยากให้ท่านแม่ทัพภาคที่ 1 ชี้แจง ผมก็จะประสานให้ท่านมาชี้แจงในโอกาสต่อไป” พล.อ.ประวิตรกล่าว