xs
xsm
sm
md
lg

“อนุพงษ์” ต้องพิสูจน์-อย่าปัดรับผิดชอบ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทำไมไม่คิดบ้างว่าทั้งคนที่สั่งให้ลงมือและทีมสังหารต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่มีหลายคนตั้งคำถามถึง พล.อ.อนุพงษ์ ว่าการพูดในลักษณะดังกล่าวมีเจตนาอะไรกันแน่

ต้องยอมรับว่าใครที่ติดตามสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นย่อมมีความรู้สึกตรงกันว่าทั้งพฤติกรรม ทั้งท่าทีและคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกมักออกมาในลักษณะ “แปร่งๆ แปลกๆ” อยู่เสมอ และโดยเฉพาะยิ่งในฐานะเป็นกรรมการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.) ก็ยิ่งผิดสังเกตไปกันใหญ่

หลังจากมีรายงานข่าวออกมาค่อนข้างชัดเจนจากตำรวจชุดสอบสวนคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตรวจสอบชัดเจนว่าพบหลักฐานเป็นปลอกประสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 3 ปลอกมีที่มาจากกองทัพภาคที่ 1 ตีตราอักษร RTA (ROYAL THAI ARMY)

เป็นอาวุธที่กรมสรรพาวุธ ทหารบกผลิตให้หน่วยพิเศษในกองทัพภาคที่ 1 ใช้เท่านั้น เพราะมีการระบุขนาด ของปลอกกระสุนเป็นลักษณะเฉพาะชัดเจน

จะเป็นด้วยจำนนต่อหลักฐานหรือสาเหตุอะไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ก็ส่งผลให้ พล.อ.อนุพงษ์ต้องออกมามายอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่สายการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1

แต่ยังไม่วายกล่าวชิงออกตัวไว้ล่วงหน้าว่าเป็นกระสุนที่รั่วไหลออกมา และ “คงตรวจสอบยาก” ซึ่งทำให้หลายคนที่ได้ฟังคำพูดและท่าทีดังกล่าวอดคิดไปไกล และสรุปเอาไว้ล่วงหน้าคดีลอบสังหาร สนธิ คงจะไม่ไปถึงไหน

คงสาวไปไม่ถึง “บิ๊กโม่ง” ที่มีการวิเคราะห์กันว่าต้องมีเหตุจูงใจ “รับงาน” มาด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อห รือด้วย เงินจำนวนมโหฬารค่อนข้างแน่ ทั้งที่มีปรากฎร่องรอยหลักฐาน ประจักษ์พยานหลงเหลือให้สืบค้นกลับไปได้บ้าง แต่ด้วยคำพูดที่พิจารณาดูแล้วเหมือน “ปิดทาง” ไม่ให้การสืบสวนสอบสวนก้าวล้ำเส้นเข้าไปใน กองทัพ หรือไม่

มันช่วยไม่ได้ที่หลายคนต้องมองในลักษณะแบบนั้น และยิ่งนำคำพูดเก่าๆมาประมวลดูหลายๆครั้งก็ยิ่งเข้าเค้าและน่าผิดหวัง เช่น เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ลอบยิง สนธิ ได้ไม่นาน พล.อ.อนุพงษ์ ก็ออกมาพูดทันทีว่าเป็น “อาชญากรรมธรรมดา”ทำนองว่าสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป ทั้งที่อยู่ในช่วงการประกาศภาวะฉุกเฉิน และมีการกระจายกำลังทหารตามจุดสำคัญทั่วกรุงเทพฯ

ทำไมไม่คิดบ้างว่าทั้งคนที่สั่งให้ลงมือและทีมสังหารต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่มีหลายคนตั้งคำถามถึง พล.อ.อนุพงษ์ ว่าการพูดในลักษณะดังกล่าวมีเจตนาอะไรกันแน่

แต่อีกมุมหนึ่งหากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง ก็ต้องยอมรับ ว่าบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ไม่น่าประทับใจเลยแม้แต่น้อย ถูกมองว่า “ลอยตัว” ไม่ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น

ที่ผ่านมาหากยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ เช่นเมื่อมีปัญหาที่กระทบความมั่นคง จากขบวนการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ยังยืนยันว่า “เป็นเรื่องการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” หรือกองทัพต้องวางตัวเป็นกลาง

อย่างไรก็ตามนาทีนี้แม้จะยังไม่สามารถสรุปได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า พฤติกรรมและคำพูดของผู้บัญชาการทหารบกดังกล่าวมาทั้งหมดจะเป็นแบบไหนกันแน่ แต่มีทางเดียวเท่านั้นที่จะคลายความคลางแคลงใจได้ดีที่สุดก็คือ การกระทำที่ตรงไปตรงไปตรงมามากกว่านี้

ช่วยไม่ได้ที่หลายคนไม่สบายใจ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก จะต้องพิสูจน์ให้สังคมได้เห็น ด้วยการกระทำ รวมทั้งต้องแสดงท่าทีให้เห็นว่าต้องให้ความร่วมมือกับฝ่ายตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนเพื่อร่วมคลี่คลายคดี

และที่สำคัญที่สุดในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพบก ซึ่งถูกระบุหลักฐานชัดเจนว่า กระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุในคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล มาจากหน่วยงานในสังกัด ก็ต้องแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังในการสอบสวนหาผู้กระทำผิดอีกทางหนึ่งด้วย

เพราะหากยังวางเฉย หรือมีท่าทีแบบปัดความรับผิดชอบดังกล่าวมา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้อาจถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวงไปตลอด !!


กำลังโหลดความคิดเห็น