xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ วอนทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ ปัด รบ.สองมาตรฐาน ยันทหารไม่เลือกข้าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายกฯ ยัน รบ.ใช้มาตรฐานเดียวดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุม ย้ำทหารไม่ได้เลือกข้าง พร้อมรับปากหลังประชุมอาเซียนเสร็จ จะเดินหน้าสะสางการปฏิรูปการเมืองและคดีความต่างๆ ขอให้มั่นใจ รบ.จะดำเนินการด้วยความเป็นธรรม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ นำความสงบสู่ประเทศ ขณะเดียวกัน เรียกถกหน่วยความมั่นคง คาดสรุปสถานการณ์บ้านเมือง

วันนี้ (19 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ“เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 14 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล และมีออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยเริ่มต้นกล่าวในช่วงแรกของรายการว่า สัปดาห์ที่แล้วในรายการนี้ ได้คุยกับและบอกว่าสถานการณ์ในขณะนั้นกำลังมีปัญหาในเรื่องของความไม่สงบ และขอเวลาพี่น้อง ตนจำได้ว่าใช้คำว่า 3-4 วันที่จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดความเรียบร้อย วันนี้ขออนุญาตที่จะพูดคุยเพื่อที่จะลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วง 7 วันที่ผ่านมา จุดยืนแนวทางของรัฐบาลในการทำงานเป็นอย่างไร และจะพูดถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หลังจากนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำอย่างไร จะให้บ้านเมืองของเรา สังคมของเรา กลับคืนสู่ความสงบสุข และเกิดความสมัครสมานสามัคคีระหว่างพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

ย้ำม๊อบย้ายจุดชุมนุมเกินกรอบกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สัปดาห์ที่แล้วเป็นช่วงที่รัฐบาลต้องประกาศเลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน และอาเซียนกับคู่เจรจาออกไป เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมได้ขัดขวางและบุกเข้าไปในโรงแรมของที่ประชุมที่รัฐบาลไทยได้เตรียมจัดไว้ หลังจากนั้นตนได้เดินทางกลับมาที่กรุงเทพฯ และได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือว่า ส่วนหนึ่งก็มีการดำเนินการของผู้ชุมนุม คงจะต้องใช้คำว่าเพียงส่วนหนึ่ง หรืออาจจะเรียกว่าส่วนน้อยก็ได้ ที่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของการชุมนุม จากการที่เป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญโดยสงบปราศจากอาวุธ มาเป็นลักษณะที่เราได้เห็นตั้งแต่ก่อนที่มีการประชุมอาเซียนจะเริ่มขึ้น ก็คือเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มีการปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และแยกต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงว่าเมื่อรัฐบาลได้เข้าจับกุมแกนนำที่บุกรุกเข้าไป และขัดขวางการประชุมอาเซียนก็มีการจัดการชุมนุมไปล้อมศาล เพื่อที่จะกดดันให้มีการปล่อยตัวออกมา

แฉเสื้อแดงหวังผล2ประการ ล้มอาเซียนซ้ำเติมปัญหา

นายกฯ กล่าวอีกว่า ลักษณะเช่นนี้ความมุ่งหมายของคนกลุ่มหนึ่งก็คือต้องการให้เกิดบางสิ่งบางอย่างใน 2 อย่าง อย่างแรกคือต้องการให้เกิดสภาพของความโกลาหลทั่วไป เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยนั้นไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ หรือบริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไปแล้ว หรือมิฉะนั้น ประการที่ 2 ก็คือว่า ต้องการที่จะยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรงจากภาครัฐ ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่ปัญหาระหว่างรัฐบาลกับมวลชน ทั้ง 2 กรณีนี้อยากจะเรียนว่า ส่วนตัวไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องของการที่จะมาดำเนินการอะไรกับรัฐบาลที่มีตนเป็นผู้นำ แต่เป็นการดำเนินการซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของรัฐบาลไทยหรือรัฐไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ความจริงลำพังการล้มการประชุมอาเซียนนั้น ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น คือไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เราก็ทราบอยู่แล้วว่าพี่น้องประชาชนกำลังเดือด ร้อนจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และที่ห่วงใยกันมากที่สุดคือคนจะตกงาน คนจะเดือดร้อนไม่มีรายได้ แต่ว่าเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ แก้ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการที่จะดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศ หรือเรื่องอื่น ๆ

แจงเหตุผล งัดพ.ร.ก. เพราะเริ่มจลาจล

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน ได้ตัดสินใจที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตนย้ำว่าความมุ่งหมายของการประกาศฯและการปฏิบัติการหลังจากนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเอาชนะคะคานในทางการเมือง ตนยังยืนยันว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มาร่วมชุมนุมนั้น มาชุมนุมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ด้วยความเชื่อว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และข้อเรียกร้องหลายอย่างของผู้ชุมนุมนั้นก็เป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผล ซึ่งก็สมควรที่จะได้รับการพิจารณา แต่ว่าลักษณะของการชุมนุมในวันที่ 12 เป็นต้นมานั้น ไม่ได้เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย อย่างที่เรียนว่าก่อนการประกาศฯเราได้เห็นแนวโน้มของการพัฒนาลักษณะของการชุมนุม ซึ่งเป็นในลักษณะของการก่อความวุ่นวาย แทบจะเรียกได้ว่านำไปสู่การจลาจล ที่สำคัญคือว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไป ในแง่ของการที่ได้รับผลกระทบในเรื่องของการใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือได้อย่างสะดวก และการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วย เพราะว่าการข่มขู่ คุกคาม คนบางคน คนบางกลุ่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ได้เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย

เล่านาทีชีวิตที่มหาดไทย ยันเห็นด้วยตาตัวเอง

นายกฯ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยว่า ตน ได้ไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อที่จะร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านความมั่นคง เพื่อได้แถลงถึงเหตุผลที่จะต้องประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทยหลังจากนั้น ตนเชื่อว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยทราบ ก็คือทันทีที่ตนได้แถลงข่าวเสร็จ และลงมาเพื่อที่จะเดินทางกลับ ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้เข้าไปปิดล้อมกระทรวงฯและบุกเข้าไปในพื้นที่ของกระทรวงฯ

“และผมอยู่ในรถนะครับ ขึ้นรถแล้ว เห็นด้วยตาของตัวเอง ต้องใช้คำว่ามีความพยายามอย่างชัดเจนที่จะไล่ล่า ทำร้าย ถึงขั้นที่จะเอาชีวิตผม มีการเข้ามา กรูเข้ามาทุบตี เพื่อหวังที่จะให้รถของผมนั้น ไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ และขณะเดียวกันสำหรับรถคันอื่น ๆ หรือบุคคลอื่น ๆ ในรัฐบาลนั้น ก็ได้ถูกทำร้ายเช่นเดียวกัน แทบจะเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะเอาชีวิตมาไม่รอด ผมเรียนว่าก็เป็นโชคดีของผมครับ ที่หลังจากที่ถูกล้อมกรอบอยู่ประมาณ 15-20 นาที รถสามารถที่จะออกมาจากกระทรวงได้ จึงไม่ได้ถูกทำร้าย แต่ว่ามีบุคคลสำคัญหลายคนที่ติดอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย และต้องหลบซ่อนอยู่ และสามารถออกมาได้หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง”นายกฯ กล่าว

เชื่อแกนนำสั่งยกระดับให้รุนแรง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ได้สัมผัสตรงนั้นเป็นการยืนยันชัดเจนถึงการชุมนุมที่ไม่ได้เป็นไป โดยความสงบ ไม่ได้เป็นไปตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญอีกต่อไป และลักษณะของความรุนแรงนี้ได้ขยายผลมาสู่การปิดแยกการจราจรต่าง ๆ ตนไม่ทราบ แต่ตนเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่เคยไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ว่าคงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีแกนนำและผู้นำการชุมนุมอีกจำนวนมาก ซึ่งได้ประกาศชัดแจ้งว่าต้องการที่จะให้การชุมนุมยกระดับขึ้นมา และมีการสนับสนุน สั่งการให้มีการปฏิบัติการในลักษณะนี้ รวมไปถึงการแสดงออกถึงความพึงพอใจที่ประเทศไทยไม่สามารถจัดการประชุมอาเซียน ได้

มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงใช้กำลัง

นายกฯ กล่าวว่า ดังนั้นเมื่อมีการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินร้ายแรงนั้น ได้มีการประชุมฝ่ายความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง วางแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ นโยบายที่ได้มอบไปคือว่า เราต้องการให้บ้านเมืองกลับมามีความสงบเรียบร้อย ปกครองด้วยกฎหมายโดยเร็วที่สุด และขณะเดียวกันก็ได้กำชับว่าการปฏิบัติการใด ๆ นั้น ต้องระมัดระวัง และอดทน อดกลั้น ให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้กำลังกับพี่น้องประชาชน เพราะรู้ว่ามีผู้ชุมนุมหรือผู้นำการชุมนุมประสงค์ที่จะให้เกิดภาวะเช่นนั้น เพื่อสร้างเงื่อนไขในการสร้างความขัดแย้งในสังคมบ้านเมืองและประเทศชาติของ เราต่อไป เพราะฉะนั้น กองกำลังต่าง ๆ จึงได้รับนโยบายนี้อย่างชัดแจ้ง ตัวอย่างก็คือว่ากรณีของทหารนั้น มีการพูดกันชัดเจนครับว่า ถ้ามีการใช้ปืน ใช้กระสุนจริงนั้น จะต้องเป็นกรณีของการยิงขึ้นฟ้า หรือกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการป้องกันตนเองเท่านั้น ซึ่งขอยืนยันครับว่า แนวทางของการปฏิบัติการหลังจากนั้นมา ได้ยึดตามแนวทางนี้มาโดยตลอด

ปะทะดินแดงทหารเจ็บ4ปชช.2แต่ไม่ใช่จากอาวุธฝ่ายรัฐ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า คืนของวันที่ 12 มีการนำกำลังต่าง ๆ เข้ามาเพื่อที่จะรับกับสถานการณ์ของการจลาจล หรือความไม่สงบเรียบร้อยในจุดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯและในเช้าตรู่ของวันที่ 13 จึงได้มีการดำเนินการในการที่จะเปิดทางการคมนาคม การจราจรบริเวณดินแดง ซึ่งเป็นจุดแรกที่เราจำเป็นที่จะต้องนำคืนสู่ความสงบเรียบร้อยหรือความปกติ การทำงานตรงนั้นเสร็จประมาณเจ็ดโมงเช้า เป็นการทำงานซึ่งมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศร่วมอยู่ด้วย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่ง 4 นายที่ถูกกระสุนนั้นเป็นทหาร ส่วนประชาชนอีก 2 ราย ที่ถูกกระสุนเช่นเดียวกันนั้น ได้มีการพิสูจน์ต่อมาว่าเป็นกระสุนที่ไม่ได้ออกมาจากอาวุธสงคราม หรืออาวุธที่ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้ใช้

“ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะว่ามีความพยายามที่จะบอกว่ามีบางคนเสียชีวิตแล้ว มีการดำเนินการในลักษณะของการใช้ความรุนแรงปกปิด ซึ่งทุกข้อร้องเรียน ทุกข้อมูลที่มีการออกมาว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายหรือภาพอื่น ๆ นั้น ผมได้ให้ทางเจ้าหน้าที่นั้นได้พิสูจน์ทราบถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด และชี้แจงพี่น้องประชาชนมาโดยลำดับตลอดระยะเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา”นายกฯ กล่าว

ชี้เจ้าหน้าที่คืนความสงบได้หลายจุด

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อ เหตุการณ์ตรงนั้นผ่านพ้นไป ก็เกิดเหตุการณ์อีกหลายจุดตลอดระยะเวลาของวันที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการนำรถแก๊สออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั้นที่บริเวณชุมชนแถวดินแดงนั้น ก็เป็นสภาพซึ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความหวาดกลัวว่าถ้ารถแก๊สระเบิด ขึ้นมานั้น จะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติโดยระมัดระวัง ซึ่งตลอดระยะเวลาของวันที่ 13 ที่ได้มีการนำเอารถแก๊สออกมาหลายจุดก็ดี ที่ได้มีการเข้าไปในชุมชนบางชุมชน และเกิดการปะทะกันก็ดี ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในเพชรบุรีซอย 5 ซอย 7 ซึ่งมีพี่น้องชาวไทยมุสลิมอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในบริเวณนางเลิ้ง ปัญหาเหล่านี้ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องค่อย ๆ คลี่คลายสถานการณ์ไป จนกระทั่งกล่าวได้ว่าพอถึงดึกของวันที่ 13 นั้น พี่น้องประชาชนที่อยู่ในบริเวณต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่าได้นำความสงบ ความเรียบร้อย กลับคืนสู่พื้นที่เหล่านั้น และมีความปกติ ส่วนผู้ปฏิบัติทั้งหลายนั้นได้ถอยไปรวมอยู่รอบ ๆ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นจุดชุมนุมที่ใช้มาตั้งแต่ต้น

แสดงความเสียใจเหยื่อ 2 รายที่นางเลิ้ง

“ผมเรียนว่า เหตุการณ์ที่น่าเสียใจคือว่ามีพี่น้องประชาชนในชุมชนนางเลิ้งเสียชีวิต 2ราย ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับทางพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทางเจ้าหน้าที่นั้นไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ทันเหตุการณ์ เมื่อเราได้รับแจ้งได้พยายามส่งเจ้าหน้าที่เข้าไป เพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว แต่ว่าก็เป็นที่น่าเสียใจว่าไม่ทันการ เพราะฉะนั้น ตลอดทั้งวันนั้นความสูญเสียที่เกิดขึ้นที่มีการรายงานเข้ามา คือการเสียชีวิตของพี่น้องประชาชน 2 รายนี้ กับผู้ได้รับบาดเจ็บร้อยกว่าราย ซึ่งมีทั้งทหารและมีทั้งพี่น้องประชาชนทั่วไป ซึ่งผมก็ขอแสดงความเสียใจกับทุกท่านและครอบครัวมา ณ ที่นี้ด้วย”นายกฯ กล่าว

แจงเหตุจับแกนนำ ย้ำกฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นได้มีการประเมินกันว่าเหลือผู้ชุมนุมอยู่รอบ ทำเนียบรัฐบาลประมาณ 2 -4 พันคน มีการประชุมปรึกษาหารือกันและได้ตัดสินใจกันว่า ทางเจ้าหน้าที่นั้นจะไม่เข้าไปสลายการชุมนุม เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดการปะทะและนำมาสู่ความสูญเสีย แต่จะใช้วิธีการที่จะนำกำลังต่างๆ เข้ามาเสริม และขอร้องให้ประชาชนที่อยากจะกลับบ้าน หรือไม่ประสงค์จะร่วมชุมนุมต่อไปกลับบ้าน เพื่อที่จะให้บ้านเมืองของเรากลับคืนสู่ความสงบสุข แนวทางอันนี้เป็นแนวทางซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่าตนและรัฐบาลรวมทั้งเจ้าหน้าที่นั้นไม่ประสงค์ที่จะใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้นกับประชาชน ไม่ได้มองว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นเรื่องของการปราบปราม แต่เป็นเรื่องของการนำเอาความสงบสุข และการบังคับใช้กฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาสู่ประเทศชาติ บ้านเมือง สังคม และเมืองหลวงของเรา พอเช้าวันที่ 14 หลังจากที่ได้ใช้แนวทางนี้ ทางแกนนำผู้ชุมนุมได้มีการประสานมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้มีการยุติการชุมนุมไป

“ผมเรียนครับว่าเมื่อมีการยุติการชุมนุมไปแล้ว ก็มีการจับกุมเฉพาะแกนนำ เพราะถือว่าบุคคลเหล่านี้ได้มีส่วนในการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ความปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่เป็นไปตามสิทธิเสรีภาพที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนพี่น้องประชาชนโดยทั่วไปที่มาชุมนุมนั้น แม้ว่าจะได้ทำผิดพรก.ฉุกเฉินนั้น แต่เราก็ไม่ได้จับกุม เพราะเรายังเชื่อว่าคนส่วนมากมาด้วยความต้องการที่จะแสดงออกตามวิถีทางของ ประชาธิปไตย”นายกฯ กล่าว และว่า หลังจากนั้นมา แม้ว่าจะมีความพยายามของการรวมกลุ่มผู้ชุมนุมขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในบริเวณแยกวังแดงไปจนถึงเรื่องของสนามหลวงนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีการในการที่จะเข้าไปพูดคุย เพื่อขอร้องว่าขอให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุขเสียก่อน ไม่ได้มีการจับกุมอะไรเพิ่มเติม ตรงนี้เพื่อที่จะเป็นการยืนยันจุดยืนแนวทางนโยบายรัฐบาลว่า เราเคารพสิทธิเสรีภาพที่ใช้ในวิถีทางประชาธิปไตย

ฮึ่มสื่อปลุกระดม ยัน2ศพลอยจ้าพระยาไม่เกี่ยวกับการสลาย

นายกฯ กล่าวถึงวิทยุชุมชนว่า ในแง่ของสื่อต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นวิทยุชุมชน ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์บางช่อง ตราบเท่าที่การทำงานนั้นเป็นเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ติชมโดยสุจริต แม้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนั้น รัฐบาลก็ให้สิทธิเสรีภาพมาโดยตลอด เหมือนกับการชุมนุมตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ว่าถ้ามีสถานีไหนได้มีส่วนในการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความไม่สงบ ก็จำเป็นที่จะต้องระงับการดำเนินการของสถานีเหล่านั้นไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ปัญหาต่าง ๆ ลุกลามไป เราจะเห็นได้ว่ายังมีความพยายามที่จะให้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการ ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ได้พยายามชี้แจงด้วยเหตุด้วยผลตามข้อเท็จจริงไป แต่ว่าความพยายามเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป บางเรื่องก็เอาเรื่องอื่นๆ เข้ามาโยง เช่น เมื่อมีการพบศพ 2 ศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีความพยายามที่จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของการชุมนุม แต่ปรากฏชัดเจนจากการสืบสวนสอบสวนว่า บุคคลทั้งสองที่เสียชีวิตนั้นหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการต่าง ๆ ในการสลายหรือเปิดการสัญจรคมนาคมไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงเลยเที่ยงคืนก็คือเข้าสู่วันที่ 14 ไปแล้ว และที่สำคัญคือว่าบุคคลที่อยู่กับคนทั้งสองครั้งสุดท้าย ยืนยันว่าคนทั้งสองไม่ได้บอกว่าจะไปชุมนุมแต่ประการใด

พร้อมตรวจสอบคนตาย ยันสลายโปร่งใส

นายกฯ กล่าวว่า ปฏิบัติการทั้งหมดนั้นได้พยายามทำโดยความอด ทนอดกลั้น และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงอย่างถึงที่สุด และจนถึงขณะนี้ก็ไม่มีใครที่ยืนยันว่ามีการเสียชีวิตของพี่น้องประชาชนจาก การทำงานของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามตนเปิดใจกว้าง ใครที่คิดว่ามีข้อมูลที่ยังคิดว่ามีปัญหาในเรื่องนี้ เราพร้อมที่จะรับฟัง พร้อมที่จะตรวจสอบและพร้อมที่จะชี้แจงอย่างโปร่งใสต่อไป ตนย้ำอีกครั้งว่าตลอดเวลาของการปฏิบัติการนั้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีสื่อทั้งในและต่างประเทศอยู่ร่วมในเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย

นายกฯ กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นตนเรียนได้ว่าในส่วนของการดำเนินการของภาครัฐนั้น ได้อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดในการที่จะเฝ้าระวังดูแลไม่ให้เกิดปัญหาที่จะ แทรกซ้อนเข้ามา ได้มีการประกาศในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ให้เป็นวันหยุดราชการ เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานของทางเจ้าหน้าที่ต่อเนื่องมาจนถึงวันเสาร์ อาทิตย์นี้ ตนได้มีการชี้แจงเรื่องราวต่าง ๆ ต่อสื่อต่างประเทศ ทั้งในช่วงระหว่างเหตุการณ์ ได้ชี้แจงต่อประชาชนผ่านเครือข่ายของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เป็นระยะ ๆ ได้มีการเชิญทูตานุทูตมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีกับสถานการณ์ที่เกิด ขึ้นในประเทศ และขณะเดียวกันได้มีการเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นพิเศษเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมา รวมไปถึงการปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการต่อไป

แนะปชช.ถอดความรู้สึกส่วนตัวออกเพื่อบ้านเมือง

“ผมพูดตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มสงบลงว่า ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดชนะ ฝ่ายใดแพ้ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องการที่จะให้บ้านเมืองนั้นกลับมาสู่ความสงบสุข เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทุกคน ให้รัฐบาลสามารถทำงานต่อได้ ผมทราบดีว่าในการปฏิบัติการอย่างนี้ ย่อมจะก่อให้เกิดอารมณ์ บางครั้งก็เป็นความเกลียดชัง บางครั้งก็เป็นความหงุดหงิด บางครั้งก็เป็นความอึดอัด ผมเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นครับ และผมได้เรียนว่า หลายคนก็สอบถามผมว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับผมนั้น ผมรู้สึกอย่างไร ผมได้ตอบไปครับว่า ผมก็เป็นคนๆ หนึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ความรู้สึกก็ต้องมีครับ ใครที่ผ่านเหตุการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างผม ผมเชื่อว่าก็ต้องมีความรู้สึก แต่สิ่งที่ผมใช้ในการทำหน้าที่ของผมก็คือว่า ผมต้องแยกและถอดความรู้สึกส่วนตัวทั้งหลายออกไป และสวมหมวกเพียงแค่การดำรงตำแหน่งและการมีหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน ทุกคนอย่างเสมอภาค เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ผมได้ทำอย่างนี้ และผมอยากจะเรียนว่า ถ้าพี่น้องประชาชนไม่ว่าท่านจะมีความคิดอ่านทางการเมือง หรืออยู่ฝ่ายใดสามารถทำได้อย่างนี้ นั่นแหละครับจะเป็นหนทางที่เรานำความสงบสุขกลับคืนมาสู่บ้านเมืองได้อย่าง แท้จริง”นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายในช่วงแรกของรายการ

ย้ำมติครม.เยียวยาหยื่อนรกป่วนกรุง

นายอภิสิทธิ์ เริ่มต้นกล่าวในช่วงที่ 2 ของรายการถึงการประชุมครม.เป็นกรณีพิเศษว่า มีวาระสำคัญก็คือในเรื่องของการที่จะมาติดตามสถานการณ์ต่างๆ เพื่อที่จะวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังคงมีอยู่ สิ่งแรกก็คือว่าทางรัฐบาลได้มีมติในเรื่องของการเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเจ้าหน้าที่ หรือไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพี่น้องประชาชน โดยได้ยึดถือหลักเกณฑ์ของการเยียวยา และกลไกที่จะมาทำงานในการอำนวยการเยียวยาให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เหมือนกับที่ครม.เมื่อปีที่แล้วได้มีมติไว้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าประชาชนได้รับผลกระทบใดๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลได้มีมติและพร้อมที่จะช่วยเหลือดูแลท่านต่อไป

ฟื้นฟูการท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ

นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นในทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกับเรื่องของการท่องเที่ยว ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก เพราะว่าตรงนี้จะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป รัฐบาลนี้จะถือการฟื้นฟูการท่องเที่ยวเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ และที่สำคัญก็คือว่ามาตรการต่างๆ ที่จะต้องเสริมเติมเข้าไปนั้นก็จะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในวันอังคารที่จะถึงนี้ เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว

อย่างไรก็ตามทราบดีว่าการคงการประกาศใช้พระราชกำหนดฯ ไว้ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเรื่องของความเข้าใจของต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ว่าได้ปรึกษาหารือกับทางผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้นำทางด้านธุรกิจทุกภาค รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยว ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจว่า เรายังมีความจำเป็นต้องคงพระราชกำหนดไปอีกระยะหนึ่งเพราะอะไร ซึ่งบุคคลเหล่านั้นได้รับทราบเหตุผลและความจำเป็นต่าง ๆ แล้ว แล้วก็ได้บอกกับทางตนและรัฐบาลว่า เขาเข้าใจ และรู้ดีว่าเราต้องสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนจริง ๆ ไม่ใช่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้วก็ในที่สุด สถานการณ์ต่าง ๆ ย้อนกลับมา ซึ่งก็จะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือการท่องเที่ยวหรือภาพลักษณ์ของประเทศ นั้น คงเกินกว่าที่จะแก้ไขได้

ยันไม่ไล่ล่า ฮึ่มปฏิบัติการใต้ดินทำลายชาติ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากการมีมติในเรื่องการเยียวยา ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยว สิ่งที่เราได้เริ่มพูดคุยกันก็คือ ทำอย่างไรเราจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ ย้อนกลับมา เฉพาะหน้าก่อน โดยขอเรียกร้องทุกฝ่ายให้อยู่ในความสงบ และให้ความมั่นใจว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ จะไม่มีเรื่องของการไปไล่ล่า หรือในการที่จะไปรุกคืบในเรื่องของการเอาชนะคะคานในทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ประชาชนที่เคยมาชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ตนได้ย้ำแล้วหากท่านมาชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ จะฟังท่านต่อไป จะฟังข้อเรียกร้องของท่านต่อไป และเดี๋ยวจะเรียนให้ทราบว่า เรากำลังคิดอ่านที่จะทำอะไรอยู่ เพื่อตอบสนองสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผล

“แต่ใครก็ตามที่ยังมีความพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง ข่มขู่คุกคาม พูดถึงการปฏิบัติการจากบนดินไปเป็นใต้ดิน ตรงนี้ครับ ผมขอเรียกร้องทุกฝ่ายครับว่าเราต้องบอกคนเหล่านี้ว่าเขากำลังทำร้ายประเทศ ชาติ เขากำลังทำร้ายประชาธิปไตย กำลังนำประชาธิปไตยกลับไปสู่ความเสี่ยงถ้าทำเช่นนั้น ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย แล้วจะเดินหน้าต่อไปได้”นายกฯ กล่าว

เล็งปัดฝุ่นกฎหมายคุมม๊อบ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ครม.เองก็ได้มีการพิจารณาด้วยว่า วันข้างหน้าเราคงจะต้องมีแนวทางในการที่จะป้องกันไม่ให้การชุมนุมซึ่งเป็น การชุมนุมตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ การใช้สิทธิเสรีภาพตามปกตินั้น เข้าไปผสมปนเปและกลายเป็นเรื่องของการก่อการจลาจลไปได้ ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบาก เพราะฉะนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง ก็เคยมีการเสนอในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในที่สาธารณะ เราก็เห็นชอบในหลักการว่า เอากฎหมายนั้นมา แต่ต้องไม่ใช่เป็นในลักษณะของการที่จะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าต้องเป็นเครื่องมือที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องประกาศพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ก็ยิ่งดี อันนี้ก็เป็นในเรื่องของการที่จะมาแก้ในส่วนของการชุมนุม ซึ่งหลายคนก็อาจจะบอกว่าเป็นเรื่องของปลายเหตุ

เผยใช้เบอร์เดิม คนโทรมาด่าเพราะเข้าใจผิด
 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตนก็ยังเหมือนเดิม ใช้โทรศัพท์เบอร์เดิม และทราบว่ามีพี่น้องประชาชนที่อยู่ในที่ชุมนุมหลายคนก็โทรมา บางคนก็พูดจาด้วยเหตุด้วยผล บางคนก็ด้วยอารมณ์ ก็อาจจะด่าทอด้วยถ้อยคำต่าง ๆ แต่เรียนว่า ตนรับโทรศัพท์เหล่านั้นเพื่อรับฟังจริงๆ และขอเรียนว่าบางเรื่องอาจจะเกิดจากความเข้าใจผิด เช่น ยังมีความเชื่อในเรื่องของการที่ตนหรือเจ้าหน้าที่ทหาร ไปจงใจที่จะทำร้ายปราบปรามประชาชน ซึ่งตนได้ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น และถ้ามีข้อมูลอย่างไรมาขอให้แจ้งมา เราติดตามตรวจสอบให้ทุกกรณี
ขอแรงทุกพรรคการเมืองสรุปปัญหารธน.2สัปดาห์

โดยตอนหนึ่งนายกฯ กล่าวถึงเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปการเมืองว่า ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่สำคัญที่ตนจับได้จะมีดังต่อไปนี้ ประการ แรก มีพี่น้องจำนวนมากที่เห็นว่ากติกาทางการเมืองในปัจจุบันไม่เป็นธรรม สืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร สืบเนื่องมาจากบทบัญญัติในบางมาตราของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เรียนว่าที่จริงข้อเรียกร้องนี้เป็นข้อเรียกร้องที่ตนให้ความสำคัญมาโดยตลอด ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์นี้ตนก็ได้พยายามริเริ่มกระบวนการของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขกฎหมายหรือการปฏิรูปทางการเมือง เพียงแต่ตนเห็นว่ามีประชาชนอีกจำนวนมาก ซึ่งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และเคยได้มีการออกมาชุมนุมเรียกร้องเมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่ต้องการให้สถานการณ์ย้อนกลับไปเหมือนปีที่แล้ว ตนจึงได้เสนอให้เอาสถาบันหรือคนกลางเข้ามาดำเนินการ แต่ว่ายังไม่ได้รับการขานรับจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งอาจจะมีความระแวงว่า บุคคลหรือสถาบันที่เข้ามานั้นมีความเป็นกลางจริงหรือไม่

“วันนี้ครับ ผม ครม.และพรรคร่วมรัฐบาล ก็จึงได้ตั้งหลักกันใหม่ว่าจะให้ทุกพรรคการเมืองลองไปสรุปว่า ปัญหาที่เป็นความไม่เป็นธรรมในบทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ หรือความไม่เป็นประชาธิปไตยนี้มีประเด็นใดบ้าง ให้รวบรวมมาภายใน 2 สัปดาห์ แล้วเราก็จะมาดูครับว่ามีกี่ประเด็น และจะดำเนินการได้ฉันทามติจากสังคม เพื่อให้แก้ไขตรงนี้ได้อย่างไร และพร้อมที่จะเดินหน้าแก้ไข เพราะฉะนั้น ประการแรก พี่น้องประชาชนท่านใดที่ออกมาชุมนุม ที่ยังเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ ผมย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลพร้อมที่จะตอบสนองตรงนี้ โดยการระดมความคิดเห็นขณะนี้ของพรรคการเมือง และจะเปิดกว้างต่อไปเพื่อที่จะทำเรื่องนี้ครับ และผมเชื่อว่าไม่ใช้เวลามากจนเกินไป ขอให้เราได้ใช้วิธีการของความสงบ ใช้กระบวนการตามกฎหมาย ใช้เหตุใช้ผล ใช้วิธีการของพูดคุย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายนี้ ตรงนี้ก็จะได้เป็นการตอบสนอง หรือตอบโจทย์ที่อาจจะเป็นที่มาของการชุมนุมและความขัดแย้งทางการเมืองได้”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ไฟเขียวแก้ไขความผิดทางการเมือง ชี้ต้องแยกออกจากความผิดอาญา
นายอภิสิทธิ์ กล่าว แม้แต่ในประเด็นที่มีการพูดถึงว่าความผิดทางการเมืองซึ่งเกิดขึ้นจากกฎหมาย ที่ไม่เป็นธรรม สมควรที่จะได้รับการแก้ไขหรือไม่ ตรงนี้ตนก็เปิดใจกว้างพร้อมที่จะรับฟัง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเราต้องแยกความผิดทางการเมืองออกจากความผิดทางอาญา ความผิดทางอาญาก็เช่น การจลาจล การยุยงปลุกปั่นที่อยู่นอกเหนือจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการกระทำผิดอื่น ๆ เช่นการใช้อำนาจรัฐไปในทางที่ไม่ถูกต้อง การทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น เหล่านี้ต้องแยกออกมาและไม่ควรมารวมกัน เพราะว่าในส่วนหลังนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยแต่ อย่างใด

ย้ำสื่อชุมชนมีได้แต่ต้องไม่ยุให้คนทำผิดกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่สอง ตนทราบดีว่าขณะนี้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล อาจจะเข้าใจว่ามีการไปปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เพราะสถานีเหล่านั้นไม่เป็นมิตรกับรัฐบาล ตนเรียนว่าไม่ใช่ ตนย้ำอีกครั้งว่าเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การใช้สื่อแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ ติชมโดยสุจริตนั้นจะทำได้เต็มที่ แต่ที่ได้มีการปิดไปจะเป็นเฉพาะสถานีที่มีส่วนในการยุยุง ปลุกปั่น ปลุกระดม ให้พี่น้องประชาชนทำผิดกฎหมาย ซึ่งอย่างที่เรียนก็คือตรงนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย และเราคงจะปล่อยภาวะเช่นนั้นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้านำบ้านเมืองไปสู่ความโกลาหล เราก็จะสูญเสียประชาธิปไตย ตนจะเร่งทำงานต่าง ๆ ภายใต้ พรก. ให้รวดเร็วที่สุด เพื่อยกเลิก พรก. และคืนสภาพต่าง ๆ กลับไป แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า ขอให้การใช้สื่อเหล่านี้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญเท่านั้น

ยันไม่ได้2มาตรฐาน ทหาร-ตำรวจไม่เลือกข้าง

นายก ฯ กล่าวอีกว่า ประเด็น ที่สาม ที่ตนรู้ว่ายังเป็นประเด็นที่ค้างคาใจประชาชนอยู่ก็คือว่า รัฐบาลใช้สองมาตรฐานในการดำเนินคดีกับการชุมนุมหรือไม่ โดยเฉพาะมีการเปรียบเทียบกับการชุมนุมในปีนี้กับปีทีแล้ว ตนเรียนอย่างนี้ว่า ตนอยากให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจว่า เราไม่มีสองมาตรฐาน แต่ว่าเราจะแก้ไขสิ่งที่ยังค้างคาใจของพี่น้องประชาชนอยู่ บางเรื่องตนคงต้องอธิบาย เช่น มีการพยายามพูดว่า การที่กองทัพได้เข้ามาร่วมในการปฏิบัติการภายใต้ พรก. ที่ตนได้ประกาศใช้ไปนั้น เป็นการบ่งบอกว่าทหารเลือกข้าง เพราะปีที่แล้วมีการประกาศใช้ พรก. แต่ทหารไม่ได้เข้าดำเนินการ

“ผมขอยืนยันเลยครับว่าทหารไม่มีข้างครับ ทหารไม่มีข้างทางการเมือง และทหาร ตำรวจ ก็ไม่ควรมีข้างทางการเมือง แต่ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย ตามที่ได้รับมอบหมาย และตามนโยบาย และโดยยึดประโยชน์ส่วนรวม และเห็นพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มเป็นมิตร หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง เพียงแต่ว่าข้อแตกต่างเป็นอย่างนี้ครับ”นายกฯ กล่าว

เทียบพรก.ฉุกเฉิน2รัฐบาลใช้ต่างกัน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปีที่แล้วมีการประกาศภาวะ ฉุกเฉิน 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งนั้นรัฐบาลในขณะนั้นก็ได้มอบภารกิจหลักให้ตำรวจ อีกครั้งหนึ่งแม้มีการตั้งผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้กำกับงานในการบริหารตาม พรก. ก็จริง แต่ว่าต่างจากที่ตนได้ทำ คือครั้งที่แล้วนั้นเมื่อมีการมอบท่าน ผบ.ทบ. นั้น เป็นเหตุของการที่ผู้ชุมนุมสองฝ่ายปะทะกัน แต่ว่าพอประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น เหตุนั้นก็ได้หมดลงไป ก็จึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมีการปฏิบัติการอะไรเพิ่มเติม ส่วนการดำเนินการอื่น ๆ นั้นก็ขอเรียนว่า ก่อนที่ตนได้ประกาศ พรก. ตนได้สอบถามท่านผู้บัญชาการเหล่าทัพ ว่าเหตุใดการประกาศ พรก. ในอดีตที่ผ่านมา ทางกองทัพหรือเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ก็ได้รับคำตอบว่า ขณะนั้นต้องการที่จะให้ฝ่ายประจำ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือตำรวจ ตัดสินใจเองว่าจะทำอะไร ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องก็มองว่าเขาไม่ใช่ฝ่ายนโยบาย

“ดังนั้นเวลาที่ผมประกาศใช้พระราชกำหนดครั้งนี้ ผมจึงบอกว่าการตัดสินใจในเชิงนโยบายทั้งหมดเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ผมและท่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงต้องรับผิดชอบ ส่วนทางกองทัพ ทางตำรวจนั้นก็จะมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามนโยบายเท่านั้น และแน่นอนนโยบายที่ผมย้ำไปก็คือว่า ต้องเป็นนโยบายที่ชอบเท่านั้น ต้องเป็นนโยบายที่ไม่ไปทำร้ายประชาชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ จึงเข้ามาดำเนินการในครั้งนี้ได้ ในขณะที่มีข้อจำกัดเมื่อปีที่แล้ว

แจงเกณฑ์ออกหมายจับแกนนำม๊อบเหลือง-แดง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประการ ที่4 มีคนสงสัยว่าทำไมขณะนี้แกนนำผู้ชุมนุมต่างๆ มีการออกหมายจับ แต่ว่าการชุมนุมปีที่แล้วไม่ได้มีการออกหมายจับ อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียนว่าในส่วนการออกหมายจับหรือไม่นี้ ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย แต่ความแตกต่างจะเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าผู้ชุมนุมหรือแกนนำซึ่งทำผิดกฎหมายและถูกดำเนินคดี พร้อมที่จะเข้ามาต่อสู้ตามกระบวนการ ไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีและที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่มีพฤติกรรมที่จะไปทำความผิดซ้ำ โดยเฉพาะความผิดที่จะกระทบกับความมั่นคง ก็จะไม่มีการออกหมายจับหรอก

ชี้เสื้อแดงไม่นิ่งยังป่วนใต้ดิน

“ที่ออกหมายจับจะเป็นกลุ่มคนซึ่งขณะนี้ก็ยังประกาศอยู่ว่ายังจะต่อสู้ต่อไป บางคนพูดถึงการไปต่อสู้ใต้ดินซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นภัยกับความมั่นคง ตนเรียนว่าถ้ามีผู้ชุมนุมปีที่แล้ว ซึ่งยังยืนยันที่จะทำผิดกฎหมายอยู่ แล้วประกาศว่าจะทำผิดกฎหมายเป็นภัยกับความมั่นคง เราก็จะออกหมายจับบุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกัน ไม่มีสองมาตรฐานอย่างแน่นอน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

รับอึดอัดคดีพธม.อืด บี้สตช.เร่งดำเนินการ

นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่าง ไรก็ตามตนได้รับรู้ความรู้สึกของประชาชนว่า เหตุใดคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในปีที่แล้ว ล่าช้า ตรงนี้ตนยอมรับครับว่าตนเองก็มีความรู้สึกอึดอัดว่ายังล่าช้าอยู่ แล้วก็ได้กำชับไปอีกครั้งหนึ่งว่าจะต้องเร่งรัดคดีต่างๆ ในปีที่แล้วออกมา ไม่ใช่ว่าไปดำเนินการเฉพาะคดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้หรือในช่วงที่ ตนเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นขอเวลาให้ตนได้พิสูจน์ให้เห็นตรงนี้ต่อไป ที่จริงตนเรียนว่าความตั้งใจเดิมก่อนจะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าเราสามารถจัดการประชุมอาเซียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็ได้บอกเอาไว้แล้วกับหลาย ๆ ฝ่ายว่าจะมาสะสางในเรื่องการปฏิรูปการเมือง และคดีความต่างๆ เพื่อเร่งสร้างความสมานฉันท์ เพราะฉะนั้นตรงนี้ตนยังยืนยันว่าเราจะไม่ละเลยแน่นอน และขณะนี้ได้กำชับทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปอีกครั้งหนึ่งว่าต้องเร่ง รัดทุกคดีโดยเร็ว สิ่งสำคัญก็คือว่าขอให้พี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ตั้งอยู่ในความสงบ และให้มั่นใจว่าเราจะดำเนินการทุกอย่างอย่างเป็นธรรม

“ทั้งหมดนี้ครับคือแนวทางซึ่งเรากำลังเร่งดำเนินการอยู่ เพื่อที่จะเป็นพื้นฐานของการคืนความสงบกลับมายังประเทศชาติบ้านเมือง และเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่เป็นปัญหาของพี่น้อง ประชาชนจริง ๆ คือปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงาน และปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศ ที่เราจะต้องฟื้นฟู รวมไปถึงภาระของเรา ซึ่งยังคงเป็นประธานอาเซียนในการดูแลให้เกิดการประชุมสุดยอดได้ ตามเจตนารมณ์ ความมุ่งหมาย และผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศในเอเชียทั้งหมดด้วย”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ไม่เคยยึดเอาประโยชน์ของตัวเองมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการทำงาน
“ผมเรียนครับว่าผมย้ำกับพี่น้องประชาชนอีกครั้ง ในส่วนของตัวผมเอง ไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรทั้งสิ้น ผมเข้ามาทำงานตรงนี้ 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา ไม่เคยยึดเอาประโยชน์ของตัวเองมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการทำงานเลย มีแต่ประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น และสถานะของผมไม่ใช่เรื่องที่สำคัญครับ ถ้าหากว่าการตัดสินใจของผม ทำให้ผมต้องพ้นสถานะของความเป็นนายกรัฐมนตรีไป แล้วแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้จริง ผมไม่มีปัญหาครับ แต่วันนี้ที่มีการเรียกร้องในบางอย่าง เช่น การยุบสภาฯ นั้น ปัญหามันยังไม่จบ เพราะถ้ายุบสภาฯ ขณะนี้ นั่นหมายถึงการใช้กติกา เหมือนกับกติกาที่เราใช้เมื่อปี 2550 ซึ่งก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกว่า ถ้าสมมติว่ามีการไปเลือกตั้งกันแล้ว มีการทุจริตการเลือกตั้ง นำไปสู่การยุบพรรคอีก ปัญหาก็ไม่จบ ขณะเดียวกันครับต้องยอมรับว่าในภาวะที่ความรู้สึก อารมณ์ ความขัดแย้งยังสูงเช่นนี้ การเดินเข้าไปสู่การเลือกตั้งทันที มีความเสี่ยงสูงว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และภาพลักษณ์ของความเป็นสังคมประชาธิปไตยของไทยเช่นเดียวกัน “นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนว่าวันนี้ทุกฝ่ายเร่งสร้างความสงบก่อน เร่งปฏิรูปการเมือง เร่งแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เร่งสะสางคดีความต่าง ๆ ให้เห็นว่าความยุติธรรมดำรงอยู่ในสังคม และหลังจากนั้นอะไรที่มีความเหมาะสมในทางการเมือง เราก็จะดำเนินการต่อไป ตนเรียนกับประชาชนว่า ตั้งแต่วันแรกที่ตนเข้ามารับตำแหน่งนี้ ตนพูดกับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดว่าภารกิจสำคัญที่สุดก็คือทำอย่างไร ให้ประเทศไทย สังคมไทย เศรษฐกิจไทย มีความเข้มแข็ง เป็นภารกิจซึ่งไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ เป็นภารกิจที่รู้ว่าทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งพื้นฐานทางการเมือง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเป็นปัญหาใหญ่มาก จนถึงวันนี้ตนก็ยังทุ่มเททำงานเพื่อที่จะให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตนได้ ประกาศกับพี่น้องประชาชนไว้

“ผมขอขอบคุณสำหรับกำลังใจที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้ส่งมาให้ผมตลอดระยะ เวลา รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ผมขอแสดงความเข้าใจและเห็นใจคนที่ยังคิดต่างจากผม และยังคิดว่าผมควรจะต้องดำเนินการอีกหลายสิ่งหลายอย่าง และยืนยันว่าผมฟังทุกเสียงอย่างแท้จริง”นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่าหวังว่าในสัปดาห์หน้าที่กลับมาพบกับพี่น้องประชาชนนั้น เราจะได้สัมผัสกับความเป็นปกติ และความสงบสุขของสังคมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นคงไม่ใช่เฉพาะฝีมือของตน หรือรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แต่เกิดขึ้นได้จากความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ขอให้ถอดอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวในขณะนี้ออกไป และคิดเสียว่าเราล้วนแต่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ทำทุกอย่าง ทำทุกวิถีทาง เพื่อประเทศไทยและประชาชนคนไทย”นายอภิสิทธิ์ กล่าวปิดรายการ
กำลังโหลดความคิดเห็น