ผบ.ทบ.ชี้การลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ปัดตอบทหารเอี่ยวลอบยิง “สนธิ” แม้มีนายทหารเฝ้าประจำเขตละ 2 จุดทั่ว กทม. เมื่อเกิดเหตุคงยากที่จะควบคุมได้ ขณะเดียวกัน ยอมรับอาวุธสงครามยังคงมีใช้อยู่ในสังคมไทย ทหารกำลังแก้ปัญหานี้ โบ้ยเป็นหน้าที่ของ ตร.ที่ต้องสืบสวน พร้อมยันไม่มีพวกเสื้อแดงเสียชีวิตขณะทหารเข้าสลายการชุมนุม
วันนี้(17 เม.ย.) ที่สโมสรทหารบก พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในการประชุมหัวหน้าชุดวิทยากรโครงการสู้วิกฤติด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีพล.อ.ธีระวัฒน์ บุณญะประดับ พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงเข้าร่วมประชุม ซึ่งบรรยากาศโดยรอบสโมสรทหารบกทั้งภายในและบริเวณทางเข้าเต็มไปด้วยกำลังทหารพร้อมอาวุธปืนจำนวน 1 กองร้อย เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น
จากนั้น เวลา 15.00 น. พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองในกรุงเทพว่า ขณะนี้สถานการณ์มีความเรียบร้อยในระดับหนึ่ง แต่จะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้เราต้องติดตามดูต่อไป ซึ่งผลการปฏิบัติงานของทหารที่ผ่านมาจากการที่มีคนไปก่อความไม่สงบ เราไม่ได้ไปปราบ แต่เราเข้าไปดำเนินการให้บ้านเมืองมีกฎระเบียบ เพราะประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทย และเราไม่ได้ใช้มาตรการที่รุนแรง ส่วนการคงไว้หรือยกเลิกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น เป็นหน้าที่ของนาย อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินใจว่าจะยกเลิก หรือจะคงไว้นานเท่าไร แต่ถ้าดูในภาพรวมพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติของใครทั้งสิ้น และการที่ยังมีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่ เพราะเป็นไปตาม พรก.ฉุกเฉิน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
"ที่ผ่านมาที่ไม่มีความเรียบร้อยเพราะมีกลุ่มคนไปทำให้เกิดความไม่สงบ ซึ่งเรานำทหารเข้าไปในพื้นที่ที่ และจัดเวรยามไปอยู่โดยเฉลี่ย 1 เขต มี 2 จุดเท่านั้น เพื่อดูแลความเรียบร้อย และสร้างความเข้าใจไม่ว่าจะเป็นเขตดุสิต พญาไท หรือบางซื่อ ซึ่งเราไม่ได้เอาไปจับผู้ร้ายว่า ใครจะยิงใคร แต่เพื่อเป็นจุดตรวจและเฝ้าระวังว่า หากมีการรวมกลุ่มในลักษณะที่ก่อให้เกิดความไม่สงบอีก เราจะนำกำลังที่เก็บไว้ออกมาแก้ไขปัญหาได้ ไม่ได้มุ่งหวังแก้ปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ผมได้เน้นว่า ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ที่เป็นวันเปิดทำงาน ในช่วงกลางวันจะไม่เห็นกำลังในส่วนนี้ แต่ในยามค่ำคืนจะออกมารักษาความสงบเรียบร้อย ยกเว้นแต่จะเลิกปฏิบัติก่อนจึงจะลดกำลังออกไป ส่วนพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง เป็นพื้นที่ที่มีสาธารณูปโภค หรือสถานที่ที่อาจเกิดการรวมตัวและเกิดปัญหาขึ้นได้" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่ามีการนำศพผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมไปเผาที่วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า "อยากยืนยันว่า การปฏิบัติที่ผ่านมา ไม่มีการเสียชีวิตของประชาชนคนไทยแม้แต่คนเดียว ในส่วนการปฏิบัติของทหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ผมกล้าที่จะยืนยัน และขอเรียนประชาชนว่า ขอให้มั่นใจ ผมเอาชีวิตของผมเป็นเดิมพัน ถ้ามีการที่ทหารไปทำใครตายอย่างที่เขาลือกัน ผมเอาชีวิตตนเป็นเดิมพันให้ได้ และไม่ต้องสงสัยอีก"
เมื่อถามถึงการถอนกำลังทหารหากมีการยกเลิกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหากรัฐบาลคิดว่าไม่จำเป็นและตำรวจสามารถดูแลสถานการณ์ความเรียบร้อยได้ เราจะถอนกลับหมด แต่หากว่า มีการต้องการกำลังทหารต้องให้รัฐบาลสั่งการไปที่ตำรวจเพื่อมีการร้องขอกำลังทหารมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ซึ่งในระดับนี้เราไม่สามารถใช้อาวุธได้ ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ตนคงดูเองไม่ได้ แต่ตนประเมินจากสื่อต่างประเทศ และจากการยอมรับของคนภายในประเทศรวมถึงจากสภาพการณ์ความรู้สึกของประชาชน และจากการประเมินด้านการข่าว อยู่ในสภาพน่าจะเรียบร้อย ส่วนที่มีปัญหาคือ ยังคงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ หากรัฐบาลจะประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินและมั่นใจว่าเหตุการณ์ปกติ ก็สามารถทำได้เลย
เมื่อถามถึงการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม ซึ่งจะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ทหารที่มีมาอยู่ประจำ 150 เขต มีเพียง 102 จุด เฉลี่ยประมาณเขตละสองจุด หากใครจะไปทำอะไร คงยากที่จะไปควบคุมได้ หรือไปรักษาไม่ให้เกิดขึ้นคงทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งหลังจากคืนวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา เราได้สั่งการเด็ดขาดว่า แม้ว่าจะมีการมาป่วนเมือง เช่นโยนระเบิดปิงปอง หรือระเบิดเพลิงเล็กๆ ห้ามใช้อาวุธโดยเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น แม้ว่าจะเห็นตัวก็ไม่ใช้อาวุธ เพราะหากมีคนขี่มอเตอร์ไซต์มาแล้วโยนระเบิดปิงปองหรือปะทัดยักษ์ แล้วทหารยิงจนทำให้เกิดการเสียชีวิต ประชาชนคงรับไม่ได้ ดังนั้นการสั่งการแน่ชัดว่า ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เรามีจุดตรวจเพียงเขตละสองจุด ในเรื่องที่จะไปเฝ้าไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นคนละเรื่องกัน และไม่ว่า จะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่อย่างไรก็ต้องเกิด
"เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็แล้วแต่ จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ในฐานะที่เป็นหน้าที่รักษากฎหมาย ทั้งนี้ผมยังไม่มีข้อมูลที่จะไปวิเคราะห์ว่า การลอบยิงนายสนธิ เป็นเพราะอะไร ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามนั้น ต้องยอมรับว่า มีการใช้อยู่ในประเทศไทยหลายครั้ง หลายหน และหลายกรณีที่มีการยิง และเมื่อหลายวันก่อนก็มีการยิงเอ็ม 79 เข้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราพยายามกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม ซึ่งดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ยังไม่หมดไป จึงต้องหาทางขจัดปัญหานี้ไปให้ได้" ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า การลอบยิงดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอะไร ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้เร่งสอบสวนและหาผู้กระทำผิดจะดีกว่า ตนไม่อยากแสดงความคิดเห็น เมื่อถามว่า จากสถานการณ์ขณะนี้จะมีกลุ่มใต้ดินออกมาก่อกวนหรือไม่ พล.อ.นุพงษ์ กล่าวว่า หากมองตามยุทธศาสตร์ การป่วนเมืองไม่น่าจะใช่ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง เช่นการล้มการประชุมระดับชาติที่รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ การไปใช้กฎหมู่ที่กระทรวงมหาดไทยหรือการปิดถนนไม่น่าจะใช้ได้ ซึ่งขณะนี้เราต้องเฝ้าติดตาม หากเป็นมาตรการก่อกวนเมือง ตนประเมินว่า ไม่น่าจะเป็นมาตรการที่สังคมยอมรับ
ด้านพ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี การลอบยิง นาย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯว่า เรื่องนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นการการสร้างสถานการณ์ เพราะว่าดูจากภาพที่ปรากฏเป็นข่าว สภาพรถที่โดนกระสุนกราดยิงนั้นมีโอกาสที่จะเสียชีวิต ถ้าเขาสร้างสถานการณ์คงจะไม่คุ้มกับการเอาชีวิตมาแลกแบบนี้ ถือว่า นาย สนธิ ยังโชคดีอยู่ เพราะโดนกราดยิงขนาดนั้น น่าจะเจ็บมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะเป็นความต้องการของเขา เพื่อให้ผสมเรื่องราวต่างๆไว้ด้วยกัน แต่ยังไม่อยากให้โยงเข้ากับเรื่องการเมือง ส่วนมาตรการการดูแลบุคคลสำคัญๆของประเทศนั้น มีเจ้าหน้าที่เขาดำเนินการอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าก็ทำงานเข้มงวดและรัดกุมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคงต้องให้ตำรวจตรวจสอบ เพราะจะไปชี้ชัดว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งคงไม่ได้ อาจจะมีทั้งประเด็นการเมือง ธุรกิจ ความขัดแย้งส่วนตัว หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ต้องรอการพิสูจน์