วันที่ 13 เม.ย. กลุ่มนักวิชาการอ้างชื่อว่าเป็น"เครือข่ายสันติประชาธรรม" ได้ออกแถลงการณ์ ประณามการใช้ความรุนแรง กรณีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งเป้นที่น่าแปลกใจว่า นักวิชาการกลุ่มนี้กลับประณามรัฐบาลและคนเสื้อนำเงิน ส่วนคนเสื้อแดงที่ก่อความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นที่พัทยา ที่กระทรวงมหาดไทย และการก่อจลาจลตลอดวันที่ 12-13 เม.ย.ที่ผ่านมา กลับไม่มีการประณาม เพียงแต่เรียกร้องผู้ชุมนุมไม่ว่าสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อดูจากรายชื่อาจารย์ที่ร่วมลงนาม ปรากฏว่ามีหลายคนที่เคยลงชื่อในข้อเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับการการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย
แถลงการณ์เครือข่ายสันติประชาธรรม
ประณามการใช้ความรุนแรง
ยุติการสร้างเงื่อนไขที่จะนำประเทศชาติไปสู่ภาวะไร้กฎหมาย
ใช้แนวทางประชาธิปไตยโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง
นายกรัฐมนตรีได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนเข้าใจว่า รัฐบาลจะนำความสงบเรียบร้อยมาสู่สังคมไทย แต่ทั้งเจตนาและการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับการโฆษณาโดยสิ้นเชิง การกล่าวอ้างทั้งหลายนั้น มาจากการคิดคำนวณทางการเมืองเพื่อรักษาอำนาจที่ได้มาด้วยชั้นเชิง
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกำลังบิดเบือนความเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง “ศัตรูของประเทศชาติ” กับ “รัฐบาล” ดังคำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลไม่ควรผลักไส ป้ายสีให้ผู้มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองกลายเป็นศัตรูของรัฐ จนเป็นเหตุที่จะสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง
ในส่วนของผู้ชุมนุม ซึ่งอาศัยแนวทางการชุมนุมโดยสงบและสันติมาโดยตลอด ควรยึดมั่นในการดำเนินการทางการเมืองตามแนวทางที่ตนเองยึดมั่นและประกาศเสมอมา แทนที่จะเผชิญหน้าเพื่อเอาชนะคะคาน ผู้ชุมนุมควรหาหนทางช่วยลดเงื่อนไข เพื่อตัดชนวนความรุนแรง โดยคำนึงถึงความสูญเสียของประชาชนไม่ว่าจะฝ่ายใดเป็นหลัก
พวกเรากลุ่มนักวิชาการตามรายชื่อท้ายจดหมายนี้มีความเห็นดังต่อไปนี้
๑. ประณามการใช้ความรุนแรงของรัฐ โดยการออกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน จนนำไปสู่การปะทะกันของทหารกับมวลชนนปช. เมื่อเช้าวันที่ ๑๓ เมษายน ที่สามแยกดินแดง กรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่รัฐบาลให้ทหารใช้กระสุนจริงในการสลายฝูงชน การสลายการชุมนุมยามวิกาล การไม่แจ้งล่วงหน้า การคุมข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ จนเกิดการสูญเสียของประชาชน และทวีความเจ็บแค้นให้กับผู้ชุมนุม
ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยได้พิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การแก้ปัญหาทางการเมืองไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้อำนาจความรุนแรงทางการทหาร สังคมทั่วโลกและประชาชนในประเทศไทยตระหนักดีว่า ความขัดแย้งในขณะนี้เป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความมั่นคงของรัฐ การแสดงออกทางการเมืองของประชาชนไม่ได้เป็นไปเพื่อทำลายความมั่นคงของรัฐ ดังนั้น รัฐบาลต้องยกเลิก พรก.ฉุกเฉินที่มิได้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาการเมืองโดยเร็วที่สุด รัฐบาลต้องสั่งการให้ทหารยุติการใช้กระสุนจริงและอาวุธสงครามใดๆโดยเด็ดขาด
๒. ประณามการใช้ความรุนแรงโดยกลุ่มคนที่สังคมกำลังสงสัยว่าเป็นกองกำลังหรือกลุ่มคนของรัฐ เช่น “กลุ่มเสื้อน้ำเงิน” เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายนที่เมืองพัทยา และโดยการ์ดของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีบางคน เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายนที่กระทรวงมหาดไทย หากรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงและความเกี่ยวข้องของรัฐบาลกับกับกองกำลังหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นได้ รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยปละละเลย หรืออาจถึงขั้นสนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรง
๓. เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยฝ่ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลหรือต่อต้านรัฐบาล ขอให้ผู้ชุมนุมดำเนินอยู่ในแนวทางการชุมนุมที่เคารพกฎหมาย ในกรอบของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่ยั่วยุหรือริเริ่มการกระทำใดๆที่จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรง
๔. ส่วนหนึ่งของปัญหาความรุนแรงในขณะนี้มาจากการที่ สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เสนอข่าวอย่างเป็นกลางและรอบด้าน พวกเราเรียกร้องให้สื่อมวลชนเคารพต่อความจริง นำเสนอข่าวสารอย่างรอบด้าน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเงื่อนไขความรุนแรง และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ในภาวการณ์ซึ่งสังคมต้องการทางเลือกที่ปราศจากการใช้ความรุนแรง สื่อต้องเปิดพื้นที่รณรงค์ขอประชามติประชาชนเกี่ยวกับทางออกต่อสถานการณ์ในขณะนี้ เช่นให้มีการถกเถียงเรื่องการยุบสภาหรือการลาออกของนายกรัฐมนตรี
พวกเรานักวิชาการจากสถาบันต่างๆ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักสันติธรรม ได้แก่การคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองโดยปราศจากความรุนแรง และเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิถีทางทางการเมืองได้ รัฐบาลต้องกล้าหาญตัดสินใจลาออกหรือยุบสภา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมต้องมีสติ และคำนึงถึงความสูญเสียของประชาชนไม่ว่าจะฝ่ายใดเป็นหลัก
เครือข่ายสันติประชาธรรม
๑๓ เมษายน ๒๕๕๒
เกษม เพ็ญภินันท์
ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร
คู่บุญ จารุมณี
จีรพล เกตุจุมพล
ฉลอง สุนทราวาณิชย์
ไชยันต์ รัชชกูล
ดารณี แสงนิล
ทวีศักดิ์ เผือกสม
ธนาพล ลิ่มอภิชาติ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์
พิศาล มุกดารัศมี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์
สังกมา สารวัตร
ศิวพล ละอองสกุล
ศรีประภา เพชรมีศรี
อภิชาต สถิตนิรามัย
อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์
แถลงการณ์เครือข่ายสันติประชาธรรม
ประณามการใช้ความรุนแรง
ยุติการสร้างเงื่อนไขที่จะนำประเทศชาติไปสู่ภาวะไร้กฎหมาย
ใช้แนวทางประชาธิปไตยโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง
นายกรัฐมนตรีได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนเข้าใจว่า รัฐบาลจะนำความสงบเรียบร้อยมาสู่สังคมไทย แต่ทั้งเจตนาและการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับการโฆษณาโดยสิ้นเชิง การกล่าวอ้างทั้งหลายนั้น มาจากการคิดคำนวณทางการเมืองเพื่อรักษาอำนาจที่ได้มาด้วยชั้นเชิง
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกำลังบิดเบือนความเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง “ศัตรูของประเทศชาติ” กับ “รัฐบาล” ดังคำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลไม่ควรผลักไส ป้ายสีให้ผู้มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองกลายเป็นศัตรูของรัฐ จนเป็นเหตุที่จะสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง
ในส่วนของผู้ชุมนุม ซึ่งอาศัยแนวทางการชุมนุมโดยสงบและสันติมาโดยตลอด ควรยึดมั่นในการดำเนินการทางการเมืองตามแนวทางที่ตนเองยึดมั่นและประกาศเสมอมา แทนที่จะเผชิญหน้าเพื่อเอาชนะคะคาน ผู้ชุมนุมควรหาหนทางช่วยลดเงื่อนไข เพื่อตัดชนวนความรุนแรง โดยคำนึงถึงความสูญเสียของประชาชนไม่ว่าจะฝ่ายใดเป็นหลัก
พวกเรากลุ่มนักวิชาการตามรายชื่อท้ายจดหมายนี้มีความเห็นดังต่อไปนี้
๑. ประณามการใช้ความรุนแรงของรัฐ โดยการออกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน จนนำไปสู่การปะทะกันของทหารกับมวลชนนปช. เมื่อเช้าวันที่ ๑๓ เมษายน ที่สามแยกดินแดง กรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่รัฐบาลให้ทหารใช้กระสุนจริงในการสลายฝูงชน การสลายการชุมนุมยามวิกาล การไม่แจ้งล่วงหน้า การคุมข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ จนเกิดการสูญเสียของประชาชน และทวีความเจ็บแค้นให้กับผู้ชุมนุม
ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยได้พิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การแก้ปัญหาทางการเมืองไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้อำนาจความรุนแรงทางการทหาร สังคมทั่วโลกและประชาชนในประเทศไทยตระหนักดีว่า ความขัดแย้งในขณะนี้เป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความมั่นคงของรัฐ การแสดงออกทางการเมืองของประชาชนไม่ได้เป็นไปเพื่อทำลายความมั่นคงของรัฐ ดังนั้น รัฐบาลต้องยกเลิก พรก.ฉุกเฉินที่มิได้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาการเมืองโดยเร็วที่สุด รัฐบาลต้องสั่งการให้ทหารยุติการใช้กระสุนจริงและอาวุธสงครามใดๆโดยเด็ดขาด
๒. ประณามการใช้ความรุนแรงโดยกลุ่มคนที่สังคมกำลังสงสัยว่าเป็นกองกำลังหรือกลุ่มคนของรัฐ เช่น “กลุ่มเสื้อน้ำเงิน” เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายนที่เมืองพัทยา และโดยการ์ดของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีบางคน เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายนที่กระทรวงมหาดไทย หากรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงและความเกี่ยวข้องของรัฐบาลกับกับกองกำลังหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นได้ รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยปละละเลย หรืออาจถึงขั้นสนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรง
๓. เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยฝ่ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลหรือต่อต้านรัฐบาล ขอให้ผู้ชุมนุมดำเนินอยู่ในแนวทางการชุมนุมที่เคารพกฎหมาย ในกรอบของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่ยั่วยุหรือริเริ่มการกระทำใดๆที่จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรง
๔. ส่วนหนึ่งของปัญหาความรุนแรงในขณะนี้มาจากการที่ สื่อไม่ได้ทำหน้าที่เสนอข่าวอย่างเป็นกลางและรอบด้าน พวกเราเรียกร้องให้สื่อมวลชนเคารพต่อความจริง นำเสนอข่าวสารอย่างรอบด้าน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเงื่อนไขความรุนแรง และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ในภาวการณ์ซึ่งสังคมต้องการทางเลือกที่ปราศจากการใช้ความรุนแรง สื่อต้องเปิดพื้นที่รณรงค์ขอประชามติประชาชนเกี่ยวกับทางออกต่อสถานการณ์ในขณะนี้ เช่นให้มีการถกเถียงเรื่องการยุบสภาหรือการลาออกของนายกรัฐมนตรี
พวกเรานักวิชาการจากสถาบันต่างๆ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักสันติธรรม ได้แก่การคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองโดยปราศจากความรุนแรง และเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิถีทางทางการเมืองได้ รัฐบาลต้องกล้าหาญตัดสินใจลาออกหรือยุบสภา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมต้องมีสติ และคำนึงถึงความสูญเสียของประชาชนไม่ว่าจะฝ่ายใดเป็นหลัก
เครือข่ายสันติประชาธรรม
๑๓ เมษายน ๒๕๕๒
เกษม เพ็ญภินันท์
ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร
คู่บุญ จารุมณี
จีรพล เกตุจุมพล
ฉลอง สุนทราวาณิชย์
ไชยันต์ รัชชกูล
ดารณี แสงนิล
ทวีศักดิ์ เผือกสม
ธนาพล ลิ่มอภิชาติ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์
พิศาล มุกดารัศมี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์
สังกมา สารวัตร
ศิวพล ละอองสกุล
ศรีประภา เพชรมีศรี
อภิชาต สถิตนิรามัย
อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์