ส.ส.ฝ่ายค้านทนไม่ได้โดนจับไต๋เป็น “ลิ่วล้อแม้ว” จี้ “กษิต” ตอบใครเป็นลิ่วล้อใคร ด้าน “กษิต” แจงจำเป็นต้องตอบโต้รักษาศักดิ์ศรีในฐานะนักการเมือง หากในสภาไม่มีใครเป็นลิ่วล้อก็ขออภัยที่อาจเข้าใจผิด ลั่นพร้อมพิสูจน์คดียึดสนามบินหากผิดจริง ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่คิดหนีคุกหนีตะราง น้อมรับคำเตือนหากพูดจาไม่เข้าหู
วันนี้ (2 เม.ย.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสด นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เรื่องจริยธรรมและพฤติกรรมความไม่เหมาะสมในการบริหารราชการแผ่นดิน กรณีที่ระบุว่าสภาไม่มีความสง่างามเพราะมีลิ่วล้อ มือปืนรับจ้าง สวะออกมาปกป้องทั้งหญิงและชาย จึงอยากถามว่าการที่ระบุว่า สภามีลิ่วล้อ มือปืนรับจ้าง เป็นใครชื่ออะไร เป็นค่าเสียหายจากกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ในฐานะที่นายกษิตมีส่วนร่วมจะนำเงินที่ไหนมาใช้คืน จะเอาเงินบริจาคจากใคร เพราะไม่สมควรที่กระทรวงการต่างประเทศจะได้รับงบประมาณกลางปี เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงการมีถ้อยคำว่า กุ๊ย เปรต สันดาน ไอ้บ้า อยากถามว่าคิดอย่างไรในใจถึงได้พูดคำเหล่านี้ออกมา เพราะถือว่านายกษิตเป็นนักการทูตที่ต้องการพูดอย่างสมานฉันท์ เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศ แต่นายกษิตกลับเอาความในใจ เอาอารมณ์มาพูด เช่น เรื่อง ส.ส.หญิงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการซื้อเปียโนของนายกษิต อยากถามว่าละอายใจบ้างหรือไม่
นายกษิตลุกขึ้นชี้แจงว่า เรื่องที่ตนแถลงเพราะได้รับการวิจารณ์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในฐานะที่มีเป็นนักการเมืองและพลเมืองต้องมีการตอบโต้ ส่วนที่บอกว่า สภามีลิ่วล้อและมือปืนรับจ้างนั้น หากในที่นี้ไม่มีก็ถือว่าเข้าใจผิด ซึ่งท่านเป็นผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ตนเข้าใจผิดไปเองก็แค่นั้น
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องการยึดสนามบินตอนนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมที่เข้มข้นและเข้มแข็ง ซึ่งผลจะออกมาผิดหรือถูกก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ถ้าหากผลออกมาว่าผิดไม่ต้องมีใครมาบอก ตนพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่หนีศาล ไม่หนีคุกตารางเป็นที่แน่นอน ส่วนเรื่องงบประมาณในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ก็เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานไม่ใช่เป็นผู้ใช้ แต่กระทรวงที่จะร่วมกันใช้คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา และสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะร่วมกันคิดร่วมกันใช้ โดยจะมีสำนักงบประมาณเป็นผู้กำกับ ส่วนเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างตน พ.ต.ท.ทักษิณ และ นพ.พรหมินทร์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของคนสามคนให้ว่ากันไป ทั้งนี้ขอขอบคุณที่มีความห่วงในเรื่องต่างๆ
นายกษิตกล่าวว่า คำพูดต่างๆ เป็นเรื่องของการตีความว่าจะหยาบคายหรือไม่ อย่างไร และใช้ในกาลเทศะ หรือสถานที่ไหน คำว่ากุ๊ยเป็นคำพูดในขณะนั้นที่ตนพูดไปเป็นเรื่องของการปกป้องศักดิ์ศรีและอธิปไตยของไทย ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาได้ยื่นคำขาดให้ไทยถอนทหาร และตนเป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่ยืนขึ้นมาตอบโต้ ซึ่งเรื่องก็จบไปแล้ว ทั้งนี้ 3 เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศก็เป็นไปอย่างดีไม่มีปัญหาอะไร ส่วนอื่นก็เป็นคำกล่าวที่เกี่ยวกับคนอื่นที่มีการพาดพิงมาถึงตน ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง ตนจึงต้องยืนหยัดในความบริสุทธิ์บนข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นอะไร
“คำพูดจะรุนแรงไปหรือไม่บางคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งหากไปเปิดบางเว็บไซต์มีคนเป็นพันๆ คน และมีบางคนก็จะมาขอคำแถลงการณ์ไปทำเป็นวีซีดีแจกจ่ายนี่ก็เป็นสิ่งที่คนชม แต่คนที่ไม่ชอบก็มีการวิจารณ์ด่าทอซึ่งผมพร้อมรับไว้หากสภา ผู้ทรงเกียรติ เตือนว่า เป็นคำพูดไม่เหมาะสม ก็ขอน้อมรับข้อสังเกต และคำตักเตือนต่างๆ ไว้ด้วยความยินดี และจะระมัดระวังให้มาก โดยเฉพาะถ้อยแถลงในสภา ส่วนเรื่องสุภาพสตรีที่เป็น ส.ส.หญิง ผมก็เป็นคนหนึ่งทั้งรักและเคารพชอบสุภาพสตรี ยืนยัน และขอให้มั่นใจว่า จะไม่ไปทำอะไรที่ให้เป็นที่ระคายเคืองศักดิ์ศรีสุภาพสตรีที่เป็นเพศแม่เด็ดขาด” นายกษิต กล่าว