ดังนั้นจึงต้องจับตาแผนป่วนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนในวงม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาลให้ดี เพราะมีโอกาสที่จะมีคนบางคน “จงใจ” ทำให้เกิด “ปืนลั่น” เกิดเลือดตกยางออกขึ้นมา เพื่อเป็นเงื่อนไขปลุกระดมครั้งใหญ่อีกรอบ
การชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ในสังกัดของ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ล่วงเข้ามากว่า หนึ่งสัปดาห์แล้ว ถือว่ายืนระยะได้ดีเกินคาด แต่นาทีนี้ถ้าถามว่าจะยืนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน สองอาทิตย์ สามอาทิตย์ หรือหนึ่งเดือน แม้เป็นไปได้ แต่ถามว่ายินดีลงทุน “จ่าย” กันขนาดนั้นเลยหรือ
ที่สำคัญงานนี้เป็นเกมลุ้นได้เสียแตกหัก ต้องการปิดเกมให้เร็ว จึงไม่น่าจะยืดเยื้อเกินการณ์แน่
แต่ขณะเดียวกันมันยังน่าสงสัยต่อไปอีกว่า จะให้ม็อบแดงเดินต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ต่อไป ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล แล้วดาวกระจายไปตามสถานที่ราชการเป้าหมายบางแห่งอีกนานแค่ไหน
เพราะถ้าพิจารณาตามแนวทางของรัฐบาลในเวลานี้ก็คือส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าไปประจำการในทำเนียบฯร่วมหมื่นนาย เป้าหมายเพื่อรักษาสถานที่ราชการ ไม่ให้ม็อบบุกเข้ามาเท่านั้น
ส่วนด้านนอกไม่ได้วางกำลังไว้แน่นหนา หรือมีลักษณะเผชิญหน้าเหมือนกับเมื่อครั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคยปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเมื่อปีที่แล้ว ทำให้บรรยากาศเมื่อเทียบกันแล้วกลุ่มเสื้อแดงจะผ่อนคลายมากกว่าแน่นอน
เพราะไม่ต้องขวัญผวากับการล้อมปราบ หรือมีกลุ่มกุ๊ยการเมืองมาก่อกวนในยามค่ำคืน
และเมื่อออกไปสำรวจบรรยากาศภายนอกโดยรอบก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าทุกอย่าง “นิ่ง” เพราะถ้าให้วิเคราะห์ตามสถานการณ์เชื่อว่าความน่าสนใจ และการ “เรียกแขก” น่าจะเพิ่มดีกรีสูงสุดในช่วงที่ “นักโทษชาย” ออกมา “โฟนอิน-วิดีโอลิงก์” โยนระเบิดใส่สถาบันองคมนตรี และ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” นั่นแหละ
พร้อมทั้งรับลูกกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เรื่องข้อมูลรัฐประหาร 19 กันยา 49
ต้องยอมรับการทิ้งบอมบ์คราวนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมเรียกแขกเสื้อแดง รวมทั้งทำให้คนทั่วไปในสังคมต้องเงี่ยหูฟังได้ไม่น้อย ถือว่าอุณหภูมิ “พีก” ที่สุดแล้ว
แต่หลังจากนั้น เมื่อตัวเองทิ้งบอมบ์เปะปะ ในช่วงแรกแม้จะทำให้สังคมช็อกไปบ้าง แต่เมื่อตั้งสติหยุดคิดไปสักครู่หนึ่งก็คิดได้ว่า เป็นแค่คำพูดของ “นักโทษ” คนหนึ่ง แถมยังเป็นนักโทษที่หนีคดี ซึ่งส่วนเกือบร้อยทั้งร้อยไม่เคยยอมรับว่าตัวเองกระทำผิด
ส่วนใหญ่มักจะบอกว่า “เขาหาว่า”หรือ“ผมถูกกลั่นแกล้ง” อะไรประมาณนี้
ภาพเคลื่อนไหวในสังคมจึงทำท่าย้อนกลับเห็นได้จากกลุ่มคนที่รัก “ป๋าเปรม” เริ่มออกมาเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจในต่างจังหวัดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับอารมณ์ของกลุ่มแนวร่วมเสื้อแดงที่รับคำสั่งให้ปิดล้อมศาลากลางจังหวัดนับสิบจังหวัดเมื่อสองสามวันก่อน บรรยากาศก็กร่อยสนิท
แต่ละจังหวัดมีคนเข้าร่วมแค่ “หยิบมือ” ไม่กี่ร้อยคน ขนาดมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในแต่ละพื้นที่คอยขนคน ปลุกระดมอำนวยความสะดวกกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่มีน้ำหนักจน สร้างบรรยากาศ สร้างอารมณ์ร่วมปิดล้อมศาลากลางไม่ได้ จนล่าสุดต้องสลายตัวถอนกำลังกลับไปหมดแล้ว
เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวทั้งหมดตั้งแต่ต้นแล้ว หากยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หรือสร้างแรงกดดันได้มากไปกว่านี้ คนที่จบเกมก่อนเกมจบก็คือ ทักษิณ นั่นเอง เพราะยิ่งนานวันแรงกดดันก็ยิ่งมีแนวโน้มพลิกกลับ
แต่ก็เชื่อว่า คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ไม่พร้อมเล่นเกมยืดเยื้อ แน่นอน
หากสถานการณ์การชุมนุมยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มีกำลังคนแค่หลักหมื่น ไม่มีความน่าสนใจใหม่ๆเพิ่มขึ้น บรรยากาศก็จะวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อลงไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งก็ต้องระวังเอาไว้อย่างเข้มงวด เพราะเมื่อรู้ว่า ปล่อยมุก ออกมาจนหมดแล้วยังได้แค่นี้รับรองว่า “เสร็จแน่”
ดังนั้นจึงต้องจับตาแผนป่วนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนในวงม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาลให้ดี เพราะมีโอกาสที่จะมีคนบางคน “จงใจ” ทำให้เกิด “ปืนลั่น” เกิดเลือดตกยางออกขึ้นมา เพื่อเป็นเงื่อนไขปลุกระดมครั้งใหญ่อีกรอบ
ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์อันตรายก่อนวันสงกรานต์ให้ดี ขณะเดียวกันต้องจำคำพูดของนักโทษบางคนที่เคยประกาศว่า “หากทหารยิงประชาชนเมื่อไหร่ผมจะเป็นผู้นำลุกฮือเอง”
อีกทั้งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่ายังมีบรรดาเสธ.มีชื่อต่างๆหลายคนป้วนเปี้ยนอยู่ในม็อบ ที่เห็นหน้าเห็นตาจำกันได้ ก็มี “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ขณะที่แนวร่วมรายอื่นก็ผสมโรงเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี หรือแม้กระทั่ง เสธ.ไอซ์ ทุกคนที่เอ่ยมาล้วนมีชื่อเสียงทางไหน สังคมน่าจะพอหลับตามองภาพออก
ทุกอย่างมันเข้าเค้า อันตรายนัก !!
