ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังแพร่กระจายออกไปตามหัวเมืองต่างๆในเวลานี้หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่ามีเจตนาหรือเป้าหมายสูงสุด คือทำลายสถาบันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล และกองทัพ กลับยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยจนน่าอึดอัดรำคาญ
ถ้าเป็นช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปีที่แล้ว บรรดาผู้นำกองทัพอย่างเช่น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็จะท่องอยู่คำเดียวว่า “เป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง” เป็นอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่า ชาวบ้านจะถูกยิง ถูกฆ่าไปต่อหน้ากี่คน กี่ศพ ก็จะท่องอยู่อย่างนี้เรื่อยไป
“การเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง” กองทัพไม่เกี่ยว
จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล “นอมินี” มาเป็นยุครัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ เกิดการชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” และมีสัญญาณทั้งภาพและเสียงจากเจ้าของตัวจริงเสียงจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามา “ปลุกระดม” พูดจาพาดพิง โจมตีให้ร้ายบุคคลสำคัญในบ้านเมืองอย่างรุนแรงต่อเนื่อง แต่ฝ่ายความมั่นคงก็ยังนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การกล่าวพาดพิงไล่เรียงไปตั้งแต่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีสถานะเป็นถึงประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นผู้ใหญ่ได้รับการเคารพนับถือทั่วบ้านทั่วเมือง รวมไปถึง ฝ่ายตุลาการ ดังที่สังคมได้รับรู้ไปแล้ว
ที่น่าสังเกตก็คือเป้าหมายครั้งล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากพิจารณาให้ละเอียดก็จะรู้ทันทีว่าจงใจเล่นงานสถาบันองคมนตรี และตุลาการ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็คาดเดาได้ว่ามีเจตนาจะทำลายสถาบันที่อยู่ “เหนือ” ไปกว่านั้นแน่นอน
ที่ผ่านมา หากจะอ้างว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ก็อาจจะสมเหตุสมผล เพื่อกันตัวเองออกมา ลดความเสี่ยง หรือไม่ต้องการให้ส่งผลสะเทือนกับเก้าอี้ แต่การโฟนอินและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ถือว่ามีเจตนาทำลายสถาบันอย่างชัดเจน ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าต้องการทำลายความมั่นคงนั่นเอง
และที่สำคัญเป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องปกป้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
การกล่าวหาใส่ร้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชาชน เรื่อยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย รวมทั้งมวลชนเสื้อแดงได้เคยกระทำต่อกลุ่มพันธมิตรฯก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และยังสามารถตอบโต้ชี้แจงโดยตรงได้ แต่กรณีของประธานองคมนตรีกรณีที่ถูกจาบจ้วง รู้กันอยู่แล้วว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้ใดๆได้ ทำให้คนกลุ่มนี้ได้ใจ กระทำย่ำยีมาตลอด
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง หากกล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องย้อนกลับไปดูบทบาทและความเคลื่อนไหวในอดีตประกอบกันไปด้วย เพราะหลายครั้งก็มักถูกกล่าวหาว่าเป็นนักฉวยโอกาส หรือเมื่อได้อำนาจมาแล้วไม่รู้จักบริหารจัดการ
หรือที่เลวร้ายไปกว่านั้นถูกกล่าวหาค่อนแคะว่าเข้ามาโดยที่ตัวเองไม่ได้ต่อสู้หรือลงทุนลงแรง ความหมายก็คือ “สบายจนเคยตัว” ดังนั้นในสถานการณ์ที่อ่อนไหวแบบนี้จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกสังคมเรียกร้องให้ใช้ความ “กล้าหาญ” แก้ปัญหาเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐอย่างเข้มข้นมากกว่าที่เป็นอยู่
ที่สำคัญเมื่อตัวเองมีอำนาจรัฐอยู่ในมือแต่กลับปล่อยให้นักโทษที่หลบหนีอาญาแผ่นดินอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามา “ปลุกระดม” มวลชน จนสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นชาติอย่างต่อเนื่อง จนไม่น่าให้อภัย
ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังแพร่กระจายออกไปตามหัวเมืองต่างๆในเวลานี้หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่ามีเจตนาหรือเป้าหมายสูงสุด คือทำลายสถาบันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล และกองทัพ กลับยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยจนน่าอึดอัดรำคาญ
หากทุกอย่างยังดำเนินอยู่เช่นนี้ต่อไปถือว่า น่าเป็นห่วง และเมื่อถึงวันนั้นกว่าจะรู้สึกตัวก็อาจจะสายเกินการณ์ !!
ถ้าเป็นช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปีที่แล้ว บรรดาผู้นำกองทัพอย่างเช่น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็จะท่องอยู่คำเดียวว่า “เป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง” เป็นอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่า ชาวบ้านจะถูกยิง ถูกฆ่าไปต่อหน้ากี่คน กี่ศพ ก็จะท่องอยู่อย่างนี้เรื่อยไป
“การเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง” กองทัพไม่เกี่ยว
จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล “นอมินี” มาเป็นยุครัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ เกิดการชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” และมีสัญญาณทั้งภาพและเสียงจากเจ้าของตัวจริงเสียงจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามา “ปลุกระดม” พูดจาพาดพิง โจมตีให้ร้ายบุคคลสำคัญในบ้านเมืองอย่างรุนแรงต่อเนื่อง แต่ฝ่ายความมั่นคงก็ยังนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การกล่าวพาดพิงไล่เรียงไปตั้งแต่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีสถานะเป็นถึงประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นผู้ใหญ่ได้รับการเคารพนับถือทั่วบ้านทั่วเมือง รวมไปถึง ฝ่ายตุลาการ ดังที่สังคมได้รับรู้ไปแล้ว
ที่น่าสังเกตก็คือเป้าหมายครั้งล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากพิจารณาให้ละเอียดก็จะรู้ทันทีว่าจงใจเล่นงานสถาบันองคมนตรี และตุลาการ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็คาดเดาได้ว่ามีเจตนาจะทำลายสถาบันที่อยู่ “เหนือ” ไปกว่านั้นแน่นอน
ที่ผ่านมา หากจะอ้างว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ก็อาจจะสมเหตุสมผล เพื่อกันตัวเองออกมา ลดความเสี่ยง หรือไม่ต้องการให้ส่งผลสะเทือนกับเก้าอี้ แต่การโฟนอินและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ถือว่ามีเจตนาทำลายสถาบันอย่างชัดเจน ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าต้องการทำลายความมั่นคงนั่นเอง
และที่สำคัญเป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องปกป้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
การกล่าวหาใส่ร้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชาชน เรื่อยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย รวมทั้งมวลชนเสื้อแดงได้เคยกระทำต่อกลุ่มพันธมิตรฯก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และยังสามารถตอบโต้ชี้แจงโดยตรงได้ แต่กรณีของประธานองคมนตรีกรณีที่ถูกจาบจ้วง รู้กันอยู่แล้วว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้ใดๆได้ ทำให้คนกลุ่มนี้ได้ใจ กระทำย่ำยีมาตลอด
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง หากกล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องย้อนกลับไปดูบทบาทและความเคลื่อนไหวในอดีตประกอบกันไปด้วย เพราะหลายครั้งก็มักถูกกล่าวหาว่าเป็นนักฉวยโอกาส หรือเมื่อได้อำนาจมาแล้วไม่รู้จักบริหารจัดการ
หรือที่เลวร้ายไปกว่านั้นถูกกล่าวหาค่อนแคะว่าเข้ามาโดยที่ตัวเองไม่ได้ต่อสู้หรือลงทุนลงแรง ความหมายก็คือ “สบายจนเคยตัว” ดังนั้นในสถานการณ์ที่อ่อนไหวแบบนี้จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกสังคมเรียกร้องให้ใช้ความ “กล้าหาญ” แก้ปัญหาเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐอย่างเข้มข้นมากกว่าที่เป็นอยู่
ที่สำคัญเมื่อตัวเองมีอำนาจรัฐอยู่ในมือแต่กลับปล่อยให้นักโทษที่หลบหนีอาญาแผ่นดินอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามา “ปลุกระดม” มวลชน จนสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นชาติอย่างต่อเนื่อง จนไม่น่าให้อภัย
ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงที่กำลังแพร่กระจายออกไปตามหัวเมืองต่างๆในเวลานี้หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่ามีเจตนาหรือเป้าหมายสูงสุด คือทำลายสถาบันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล และกองทัพ กลับยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยจนน่าอึดอัดรำคาญ
หากทุกอย่างยังดำเนินอยู่เช่นนี้ต่อไปถือว่า น่าเป็นห่วง และเมื่อถึงวันนั้นกว่าจะรู้สึกตัวก็อาจจะสายเกินการณ์ !!