อดีตหัวหน้าพรรค ปชป.ปิดบัญชีข้อมูล “เป็ดเหลิม” ล้วนเป็นเท็จ ติดสันดานพนักงานสอบสวนใช้จิตนาการตั้งข้อกล่าวหาผู้อื่นหวังผลทางการเมือง สุดท้ายสำนวนพลิกจนทำให้สังคมขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว ยืนยันนายกฯ ไม่รู้เห็นเกี่ยวกับบัญชีรายรับรายจ่ายของพรรคในขณะนั้น
วันนี้ (20 มี.ค.) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอใช้สิทธิ์พาดพิงในฐานะที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงนั้น โดยกล่าวว่า เรื่องเงินบริจาค ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในสภานี้ก็พูดกันแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอดีตพนักงานสอบสวน ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าต้องเป็นคนที่มีจินตนาการ มีความคล่องตัวสูง ในการยึดโยงหลายเรื่องเข้าหากัน เพื่อให้ดูเป็นจริงมากขึ้น ข้ออภิปรายของร.ต.อ.เฉลิม ดูแล้วเสมือนหนึ่งว่า มีโอกาสเข้าไปล่วงรู้สำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานสอบสวนในสำนักงานดีเอาเลยทีเดียว และพูดจาในทำนองว่า มีการพูดจากับพยานที่เคยไปให้การในสำนวนนั้นมาบ้างแล้ว ซึ่งเรื่องการนำถ้อยคำของพยานเพียง 1-2 ปาก มาทึกทักเอาว่าเป็นเรื่องจริง ก็เคยปรากฏข้อเท็จจริงมาตั้งเยอะแล้วว่า ท้ายสุดก็มักจะกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่สำหรับประชาชนคนฟังทั่วไปที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวข้องกับคดีฟังแล้วต้องน่าตกใจ ยิ่งเป็นคำอภิปรายของร.ต.อ.เฉลิม ด้วยแล้ว ฟังแล้วต้องยอมรับว่าน่าตกใจจริงๆ วันนี้ตนจึงต้องมีหน้าที่มาเรียนให้ทราบว่าจริงๆแล้วการสอบสวนเรื่องนี้ ที่กำลังกระทำกันอยู่ ในสำนักงานดีเอสไอนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ประเด็นโดยตรงนั้นเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บริษัทหนึ่ง ซึ่งก็ทราบๆกันอยู่แล้ว มีคนกล่าวหาก็ต้องมีคนสอบสวน แล้วก็บังเอิญการสอบสวนก็มีการพาดพิงมาถึงคนบางคน หรือบางกลุ่มในพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ซึ่งความจริงอาจจะเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งต่างหากก็ได้ ก็มีคนพยายามนำเรื่องนี้มายึดโยงกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแสดงให้เห็นทีเดียวว่าประชาธิปัตย์ทำผิดแล้ว รับเงินบริจาคแล้ว แล้วไม่รายงานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่อย่างหนึ่งประการใดทั้งสิ้น
นายบัญญัติกล่าวว่าข้อกล่าวหาบังหลวง ความจริงเงินอุดหนุนที่ได้รับมาจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง ในปีนั้น ถ้าตนจำได้ไม่ใช่ 29 ล้านบาทตรงนั้น แต่กว่า 60 ล้านบาท ทำแผนส่งไปขอรับการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากกกต.เรียบร้อย ต่อมาถึงปลายปีใกล้เลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในรายชื่อหลายแห่งเรียกร้องต้องการฟิวเจอร์บอร์ด ขนาดเล็กๆ ที่พูดนโยบายสำคัญๆ ของพรรค พรรคประชาธิปัตย์มีความรู้สึกว่ามันใกล้เลือกตั้งเข้าไปแล้ว เงินก็มีจำนวนจำกัดตามสมควร ลดป้ายใหญ่ลงมาเป็นป้ายเล็ก แต่ว่าในขณะเดียวกันก็ได้ทำเรื่องขออนุมัติ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงไปยังกกต. อย่างถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่างทุกประการ เมื่อกกต.อนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ การดำเนินการที่ตั้งหลักรอวันเวลาแล้ว ก็ดำเนินการต่อไป ตนนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเพื่อว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีความมุ่งหมาย ที่จะนำเอาเงินของกกต. ที่ได้สนับสนุนมาไปใช้เพื่อการอย่างอื่นแล้ว เราต้องมาเสียเวลา เพื่อทำเรื่องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงไปยังกกต.ทำไม เพราะว่าลำพังแผนงานที่มีอยู่เดิม เราก็ได้รับอนุมัติให้ความเห็นชอบจากกต.แล้ว ก็เพียงพอต่อการนำเงินเหล่านั้นไปใช้ได้อยู่แล้ว
นายบัญญัติยืนยันอีก ว่าประเด็นที่สับสนกันมาก เพราะมีการนำเอาเรื่องสองเรื่องมาปะปนกัน คือเรื่องที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปจ้างบริษัทเมสไซอะไปดำเนินการทำการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของบริษัทเขา แล้วก็เอาอีกเรื่องหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ว่าจ้างบริษัทเมสไซอะ ไปทำป้ายโฆษณา ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กเอามาปนกัน มันก็ดูยุ่งเหยิงกันไปหมด แล้วก็เช่นเดียวกันทุกครั้งเวลาพูดถึงเรื่องนี้ ก็จะนำข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง มาเสริมเข้าด้วยกัน เพื่อปรุงแต่งให้เข้าใจว่า นี่เป็นกระบวนที่ไม่ชอบมาพากล อย่างแน่นอน
ส่วนกรณีของน.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง เป็นบุตรสาวของนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2543-2544 เวลาที่มีการตั้งบริษัทเมสไซอะเกิดขึ้น วันนั้นมีนายสุพัฒน์ ร่วมด้วย ก็ด้วยความรักลูก ฉันพ่อลูกโดยทั่วๆไป ก็ดึงเอาลูกสาวของตัวเองเข้าไปเป็นผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทด้วย แล้วก็ซื้อหุ้นให้จำนวนหนึ่ง เห็นว่าหลังจากนั้นไม่ถึง 6 เดือน น.ส.สุพัชรีกลับมาทราบเรื่อง ด้วยความที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องเหล่านี้ เธอจึงไม่รับและขอลาออก พร้อมขายหุ้น เรื่องนี้จบไปแล้วตั้งแต่ปี 2544 ประเด็นที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทเมสไซอะกับพรรคประชาธิปัตย์ที่กล่าวถึงกันเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ตอนปลายปี ต้น 2548 แสดงว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่น.ส.สุพัชรีลาออกไปแล้ว เป็นเวลาถึง 4 ปีเต็มๆ แต่เวลาพูดถึงเพื่อให้คนเชื่อมากขึ้นว่าพรรคประชาธิปัตย์ทุจริตมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ก็นำเอาเรื่องนี้มาโยงใยทุกครั้ง เหมือนกับการโยงอีกหลายคน เช่นนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา หรือนายนิพนธ์ ทั้งเรื่องการโอนเงินกันด้วยธุรกิจอย่างอื่น เป็นธุรกิจตามปกติ ของบริษัทธุรกิจเอกชนที่เขากระทำกัน แต่ถ้าโยงเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งเรื่องหลายเรื่อง ที่นายประดิษฐ์ พูดถึง ถ้าลากเข้ามาโยงกันได้เมื่อไร ก็ทำให้แลดูมีสีสันและน่าเชื่อถือมากขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็เสียหายมากขึ้น
“ผมขอยืนยันตรงนี้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง และไม่น่าจะเป็นเรื่องที่นำมาใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลาที่รัฐบาลบริหารอยู่แล้ว ในเวลาที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคจำได้แน่นอนว่าไม่เคยมอบให้นายอภิสิทธิ์ ต้องเข้ามารับผิดชอบดูแล ในการทำแผนการใช้จ่าย ในเรื่องการทำการประชาสัมพันธ์หรือเรื่องการอนุมัติการใช้จ่ายงบเงินเหล่านี้แต่ประการใดทั้งสิ้น”