xs
xsm
sm
md
lg

“ประดิษฐ์” ถลกหนัง “แกะเหลิม” ท้าเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน ชี้ไร้สาระ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
“รมช.คลัง” ตอกกลับข้อมูลซักฟอก “เป็ดเหลิม” โกหกทั้งเพ พร้อมแจงบัญชีรายรับรายจ่ายสมัยนั่งเลขาธิการพรรคปชป.ละเอียดยิบ ประกาศเอาตำแหน่งเป็นเดิมพันหากใช้เมซไซอะ เป็นแหล่งฟอกเงิน ชีไร้สาระไม่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ส่งสัญญาณคนใกล้ชิดที่ถูกพาดพิงรวมหัวฟ้องผู้อภิปรายปั้นเอกสารเท็จ

วันนี้ (20 มี.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นับเป็นวันที่ 2 ของการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งเริ่มขึ้นในเวลา 09.00 น. โดยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาว่าของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กรณีเงินบริจาคพรรค ที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฏร์ บังหลวง ว่า ในฐานะที่ตนเป็นเลขาธิการปชป.ในขณะนั้น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารเงินของพรรค 3 ส่วนหลักด้วยกันคือ 1.เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาการเงินหรือเงินอุดหนุนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 2.เงินบริจาคที่มีผู้สนับสนุนพรรค และ3.เงินที่มาจากการจัดกิจกรรมการระดมทุน ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งเลขาธิการปชป.คือระหว่างเดือนเม.ย.2546ถึงเดือนกพ.2548 ตนได้บริหารเงินของพรรคตามกฎระเบียบของกกต.โดยถูกต้องทุกประการ พรรคได้จัดทำบัญชีและได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ซึ่งต่อมาได้รายงานต่อกกต.โดยกกต.ได้ตรวจสอบความถูต้องของงบดุลดังกล่าวและจัดทำเป็นหนังสือรายงานงบการเงินประจำปีของพรรคการเมืองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกพรรคการเมืองก็จะถูกตรวจสอบจากกกต.แบบเดียวกันนี้

"ประดิษฐ์"  กางหลักฐานโต้ เป็ดเหลิม ยันเงินบริจาคพรรคโปร่งใส

นายประดิษฐ์ ได้นำเอกสารรายงานของผู้สอบบัญชีได้ตรวจสอบบัญชีทั่วไปและให้คำรับรองว่างบการเงินของปชป.ประจำปี 47ว่า ได้จัดทำอย่างถูกต้องตามการตรวจสอบบัญชีทุกอย่าง เช่นเดียวกับเอกสารของงบการเงินปี 48 รายชื่อเซ็นต์รับรองผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้สอบบัญชีได้รับอนุญาติเลขทะเบียน1147 ซึ่งต่อมาเอกสารฉบับนี้ได้จัดพิมพ์ลงในหนังสืองบการเงินของพรรคการเมือง ประจำปี 47 และ2548 ตนและผู้บริหารได้ดำเนินการตามขั้นตอน และต่อมาปี 48 หลังการเลือกตั้ง ตนได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค และลาออกจากการเป็นสมาชิกของปชป.เมื่อเดือนเมย.49 โดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการและการจัดทำงบของปชป.อีกเลย

นายประดิษฐ์ชี้แจงถึงรายรับรายจ่ายของพรรคว่าใน ปี47 ปชป.มีรายรับรวม 118 ล้านบาท เฉพาะเงินบริจาคในปีดังกล่าวมีเพียง 16 ล้านบาทเศษ ส่วนปี 48 ปชป.มีรายรับรวมทั้งสิ้น 158,183,477.79 บาท โดยเงินจำนวนนี้มาจาก 3 ส่วนหลักด้วยกัน แบ่งเป็น เงินบริจาค 38 ล้าน เงินสนับสนุนจากกกต.68ล้านบาทเศษ รายรับจากการจัดกิจกรรมระดมทุน47 ล้านบาท รวมรายรับทั้งสิ้น 158 ล้านบาทส่วนรายจ่ายในปีเดียวกันปชป.มีรายจ่ายทั้งสิ้น 156,809,169 บาท ซึ่งเป็นรายจ่ายโครงการของกกต.จำนวน 29 ล้านบาท รายจ่ายในการเลือกตั้ง 63.9 ล้านบาท รายจ่ายค่าบริหารสำนักงานใหญ่49ล้านบาทเศษ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดของรายรับรายจ่ายอยู่ในรายงานงบการเงินของพรรคการเมือง ซึ่งกกต.ได้อนุมัติแล้ว

การใช้จ่ายในการเลือกตั้งจำนวน63.9 ล้านบาทเศษโดยมีค่าใช้จ่ายแต่ละโครงการดังนี้ รายจ่ายในการรณรงค์เพื่อการเลือกตั้งที่นำไปใช้ในโครงการจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์และบิลบอร์ดประมาณ 2 ล้านบาท โครงการจัดทำแผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งหรือป้ายฟิวเจอร์บอร์ดประมาณ 40,302,300 บาท โครงการประชาสัมพันธ์ทางนสพ.11,843,421 บาท โครงการจัดสื่อสิ่งพิมพ์ประมาณ7,049,255 บาทและค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก2,793,287.07 บาท ทุกรายการที่ผมกล่าวมานี้มีการว่าจ้างและจ่ายเงินถูกต้องตรงตามความเป็นจริงทุกประการ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ในบัญชีงบการเงินของพรรคปละบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งของพรรค ซึ่งมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป

โชว์ใบเสร็จ-ป้ายหาเสียง ยันมีการว่าจ้างงานจริง

สำหรับเงินจำนวน 200 กว่าล้านบาทที่มีผู้อภิปรายว่ามีบางบริษัทได้สนับสนุนหรือบริจาคให้กับปชป.จากงบการเงินที่ถูกต้อง ไม่พบว่ามีเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด ขอยืนยันด้วยว่าขณะที่ตนดำรงตำแหน่งเลขาธิการปชป.รายรับรายจ่ายของพรรคมีอยู่บัญชีเดียวโดยไม่มีบัญชีอื่นใด นอกเหนือจากนี้อีก ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่าพรรคปชป. .และผมไม่เคยรับเงินจำนวนดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมแต่อย่างใด อีกทั้งผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวหาก็ได้ออกมาปฎิเสธแล้วว่าไม่ได้บริจาคเงินให้กับปชป.แต่อย่างใด บริษัทดังกล่าวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสาธารณชนสามารถตรวจสอบได้ทั้งการใช้จ่ายเงินและรายละเอียดต่างๆ

นายประดิษฐ์กล่าวว่าในช่วงเป็นเลขาพรรค ได้รู้จักคนมากมาย ในช่วงรณรงค์หาเสียงมีหลายบริษัทมาของานในช่วงการเลือกตั้งซึ่งเป็นของธรรมดา กรณีของนายประจวบ สังข์ขาว ก็เช่นเดียวกันมาติดต่อของาน ซึ่งเท่าที่จำได้มีส.ส.บางคนในพรรค. โดยเฉพาะนายนิพนธ์ บุญญามณี ได้แนะนำว่านายประจวบเป็นคนที่รับงานทำด้านพิมพ์ป้าย โฆษณาการหาเสียงให้หลายคนก่อนที่ตนจะมาเป็นเลขาฯพรรคด้วยซ้ำไป

เมื่อนายประจวบมาติดต่อมาตนได้บอกให้ไปเสนองานคณะทำงานของพรรค หากแพงกว่ารายอื่น ตนก็ไม่สามารถจะช่วยได้ แต่ถ้าราคาเหมาะสมไม่แพงกว่า ก็เป็นไปตามกระบวนการของพรรค ทุกรายการที่ มาคุยตนก็แนะนำเช่นนี้ ในที่สุดคณะประชาสัมพันธ์ของพรรคซึ่งตนไม่ได้ร่วมอยู่ในคณะทำงานชุดนี้ ได้พิจาณาว่าจ้างบริษัทของนายประจวบทำป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งมูลค่าประมาณ 23 ล้านบาทเศษ และยังจ้างบริษัทอื่นๆอีกหลายบริษัทให้ทำป้ายโฆษณาในรูปแบบเดียวกัน หลังจากบริษิทนายประจวบได้รับงานจากปชป.ได้ผลิตป้ายโฆษณาจากฟิวเจอร์บอร์ดประมาณ 90,000 แผ่น

นอกจากนี้ตนยังมีใบเสร็จรับเงินของบริษัทดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่ามีการว่าจ้างและทำงานจริง นี่คือใบเสร็จของบ.เมซไซอะฯ และจำนวนเช็คที่ปชป.ได้สั่งจ่ายบ.เมซไซอะฯ จำนวนเงิน 23,314,200 บาท โดยพรรคได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินจำนวน 672,525 บาท ดังนั้นการที่มีมีการอภิปรายกล่าวหาว่าการจ่ายเงินให้บริษัทดังกล่าว แล้วไม่ทำงานจึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ส่วนที่มีการอภิปรายว่าหลังจากปชป.ให้เงิน 23 ล้านบาท.เมซไซอะฯ นำเงินไปมอบให้บุคคลอื่น ตามที่ผู้อภิปรายกล่าวหาเป็นสิทธิของบริษัท แต่ขยืนยันว่าพรรค.และตนไม่ได้รับเงินดังกล่าวตามที่ผู้อภิปรายได้กล่าวหามา รวมถึง ไม่เคยประชุมวางแผนพบปะตามที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายประชัย เลี่ยวไพรัช เพื่อวางแผนกับนายประจวบ ที่โรงแรมเพรสซิเด้นท์ด้วย

ในการเลือกตั้งปี 2548 ปชป.ได้ตกลงว่าจ้างบริษัทอื่นทำโฆษณาหาเสียงด้วย เช่น บริษัทอุตสาหกรรม อีโค่ พลาส จำกัด จำนวน 4.6 ล้านบาทเศษ บริษัทป๊อปปูล่า อินเตอร์ พลาส จำนวน1.2ล้านบาทเศษ บริษัทเกิดเมฆ แอ็ดเวอร์ไทซิ่ง จำนวน 2 ล้านบาทเศษ บริษัทวินสันสกรีน จำกัด จำนวน 1 ล้านบาทเศษ และบริษัทแม็กเนท ซายน์ จำนวนเงิน 8 หมื่นบาทเศษ

แจงข้อหาคนในครอบครัวร่วมรับเงินเป็นเรื่องส่วนตัว

ในกรณีบริษัทเกิดเมฆ หลังจากตกลงว่าจ้างแล้ว บริษัท ได้ส่งมอบป้ายฟิวเจอร์บอร์ดให้พรรค อย่างครบถ้วน และมีชื่อบริษัทอยู่ข้างล่างของป้าย และยังมีใบเลร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี ตามจำนวนเงินที่ได้กล่าวไปแล้วทุกประการจากหลักฐานดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์และยืนยันได้ว่ามีการจ้างงาน ส่งมอบป้าย และจ่ายเงินให้กันจริงตามหลักฐานทั้งหมด

ส่วนประเด็นคนใกล้ชิด และญาติของตน ในช่วงช่วงเวลาการเสียงระหว่างประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย ตนเป็นเลขาธิการพรรคมีเวลาหาเสียงน้อยมาก ได้ออกหาเสียงทุกเช้ากลับค่ำๆ การแข่งขันการหาเสียงครั้งนั้นเป็นการหาเสียงที่รุนแรงที่สุด ตนคงไม่มีเวลาที่จะรับรู้ว่าใครจะไปทำอะไรกันในการทำในสิ่งที่เลขาธิการพรรคไม่สามารถรับรู้ได้ การหาเสียงเป็นสิ่งที่เลขาธิการพรรคต้องรับผิดชอบเหมือนการเอาหัวไปโขลกหิน พอผ่านการเลือกตั้งครั้งนั้นมาใครจะไปดำเนินการนอกเหนือกิจกรรมพรรคนั้นตนไม่อาจจะทราบได้

สำหรับที่พาดพิงถึงนายธงชัย คลศรีชัย ยอมรับว่าเป็นญาติลูกพี่ลูกน้อง และได้เข้ามาช่วยงานพรรค แต่ได้ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเข้ามายุ่งบริหารจัดการแต่อย่างใด ไม่ได้ดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้างของพรรคแต่อย่าใด เมื่อมีข่าวว่าจะมีอภิปรายเกิดขึ้น นายธงชัย ได้มาพบตน และชี้แจงเรื่องราวต่างๆว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแมสไซอะฯ แต่ได้รู้จักนายประจวบ เพราะมาติดต่อโฆษณาหาเสีบง และเป็นช่วงเวลาเดียวกันนายประจวบไปรับงานจากบรัทเอกชนที่พาดพิงถึงด้วย โดยนายประจวบ ได้มาปรึกษาให้ช่วยรับช่วงงานโฆษณา นายธงชัยจึงรับช่วงบางส่วนมาทำ โดยนายประจวบ ได้ทยอยจ่ายเงินให้หลายงวด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 40 ล้านบาทเศษ เพื่อนำไปทำงาน หลังจากนั้นทั้งสองคนเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจ อาจจะป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายประจวบไม่พอใจนายธงชัย

ลั่นพร้อมลาออกหากทำผิดรธน.

ส่วนกรณีนางศิริลักษณ์ ไม้ไทย ยอมรับว่าเป็นน้องสาวตน และไม่ทราบเรื่องทางธุรกิจน้องสาวมากนัก แต่น้องสาวเคยถือหนังสือเรียกจากกรมสอบสวนคดีพิเศษมาพบตนด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ หลังจากได้หารือกันแล้วได้ความว่านายธงชัย ได้นำเช็คคนอื่นจำนวน 13 ล้านบาทเศษมาชำระหนี้ให้กับศิริลักษณ์ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 เพื่อชำระหนี้ที่ครอบครัวญาติพี่น้องของนายธงชัย ได้ยืมเงินไปก่อนหน้านี้ จำนวน26 ล้านบาทเศษ โดยนายธงชัย บอกว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คของลูกค้า นางศิริลักษณ์จึงนำเช็คฝากเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน โดยไม่ทราบมาก่อนว่านายธงชัย ได้รับเช็คดังกล่าวมาอย่างใด นายศิริลักษณ์ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักและไม่เคยทำธุรกิจ กับบ. เมซไซอะฯ และนายประจวบ ส่วนที่พาดพิงถึงนายโชคชัย และบุคคลอื่นนั้น นายธงชัย เป็นพี่ชายของนายธงชัย แต่ไม่ได้เข้าไปทำธุรกิจระหว่างนายธงชัย กับบริษัทของนายประจวบแต่อย่างใด นายโชคชัย ได้ยืนยันกับผมว่านายธงชัยมาขอยืมใช้บัญชี เพื่อนำเช็คเข้าบัญชีเท่านั้น

“เรื่องนี้เป็นเพียงถ้อยคำที่อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนของดีเอสไอ ในคดีกล่าวหาว่ากรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง กระทำความผิดต่อพ.ร.บ.หลักทรัพย์ และตลอดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีกับผมหรือปชป. อีกทั้ง ยังไม่มีข้อสรุปหรือการตั้งข้อกล่าวหากับบุคคล ที่ท่านได้อภิปรายถึงแต่อย่างใดทั้งสิ้น และหากบุคคลใกล้ชิดผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจริงก็เป็นวิบากกรรมของเขาที่จะต้องรับไป แต่ถ้าเขาไม่ผิดเขาควรได้รับความเป็นธรรม ความเป็นธรรมที่ผมว่านี้จะต้องมาจากกระบวนการยุติธรรมในระบบศาล มิใช่การพิพากษาของคนที่ไม่ได้มีข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน มาพิพากษาเขาทำให้เกิดความเสียหาย”

ทั้งนี้นายประดิษฐ์ยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมและกระทำการอันขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.แต่อย่างใด หากพบภายหลังว่าตนเข้าไปมีส่วนกระทำผิดตามที่กล่าวหา เพียงแค่ศาลรับฟ้อง หรือหน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ชี้ว่ามีมูลว่ากระทำความผิด ตนยินดีที่จะยุติบทบาทและหน้าที่การเมืองในทุกตำแหน่งทันที ไม่มีความจำเป็นต้องรอหกระบวนการยุติธรรมขั้นสุดท้ายตัดสิน เพราะมีสปิริตทางการเมืองพอ

นิพนธ์ ซัดกลับเป็ดเหลิม จอมหมกเม็ด

นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงว่า ตนเปิดบริษัทอาคเนย์ คอนกรีต จำกัด ในปี 37 โดยเป็นเอเยนต์ ตัวแทนจำหน่ายปูนผงของทีพีไอในภาคใต้ ต่อมาประมาณปี 2540 บริษัทขยายตลาด โดยการรับปูนถุงมาขาย โดยให้คนในครอบครัวเป็นเอเยนซ์จำหน่ายปูนถุง ในวันที่ 29 ก.ค.46 จึงได้ไปตั้งบริษัท สมิหลา ดิเวลลอปเมน จำกัด ซึ่งมีนายวุฒิชัยเป็นกรรมการบริหารบริษัทตามที่ร.ต.อ.เฉลิมพูดถูกต้องแล้ว ซึ่งนายวุฒิชัยเป็นเอเยนซ์จำหน่ายปูนถุงบริษัททีพีไอ และมีนายมนูญ สายอ๋อง ที่ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าเป็นเพื่อนตน ก็เป็นกรรมการบริหารบริษัทนี้ด้วย แต่ ร.ต.อ.เฉลิมกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ จึงเห็นชัดว่ามีการหมกเม็ดข้อมูล

นายนิพนธ์ ชี้แจงอีกว่า หลังจากนั้น วันที่ 20 ก.ค.47 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายปูนซีเมนต์ ระหว่างบริษัททีพีไอ กับบริษัทสมิหลา โดยนายวุฒิชัย และนายนูญ เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายปูนผง ซึ่งการเป็นตัวแทนจำหน่าย อยู่ดีๆ จะขอเป็นตัวแทนจำหน่ายไม่ได้ ต้องมีวงเงินค้ำประกัน และต้องมีแบงค์การันตี ซึ่งวันที่ 25 ก.ค.48 ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนเพชรเกษม ออกหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ให้บริษัทสมิหลา ให้ไว้ต่อบริษัททีพีไอ เพื่อค้ำประกันสินค้าที่บริษัทสมิหลา ได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัททีพีไอในวงเงิน 6 ล้านบาท ซึ่งนี่คือธุรกิจที่ทำกันมาตลอด แต่ร.ต.อ.เฉลิมจงใจไม่พูด เพราะถ้าพูดน้ำหนักจะน้อยลง

ตั้งข้อสังเกตข้อมูลดีเอสไอ.รั่ว

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า สิ่งเหล่านี้นายวุฒิชัยได้ไปให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว ว่าได้มีการติดต่อทำสัญญากัน และต้องทำประชาสัมพันธ์ เพราะไม่เช่นนั้นจะสู้คู่แข่งไม่ได้ ข้อมูลที่ร.ต.อ.เฉลิมพูดเมื่อวาน (19 มี.ค) เหมือนว่ารู้สำนวนคดีของดีเอสไอทั้งหมด แต่ท่านจงใจไม่พูด ซึ่งนายวุฒิชัยก็ได้ไปให้รายละเอียดว่าบริษัทเมซไซอะฯ ได้มาจ้างทำโฆษณาเช่นไร ก็ได้แจ้งไว้หมดแล้ว และที่ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าบริษัทเมซไซอะฯ ทำสัญญาไม่จริงนั้น รู้ได้อย่างไร เพราะเขาก็ทำสัญญากันหมด และที่บอกว่าไปเอารถกะบะมาแห่โฆษณานั้น วิธีการโฆษณาก็มีหลายแบบ เช่น การจัดสัมมนาลูกค้า หรือติดป้ายแบนเนอร์ ป้ายโฆษณาและการทำรถแห่ก็เหมือนรถแห่หาเสียงของผู้แทน เพื่อให้เข้าถึงหมู่บ้านและชนบท ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะจับลูกค้ากลุ่มไหน

“ผมต้องการขอความเป็นธรรมให้กับบุคลลภายนอก และที่บอกว่ามีการโอนเงินให้นางอาภาพร เอกอุรุ น้องสาวนายประพร หรือให้กับคนอื่นๆ ถ้าผมไม่ชี้แจงวันนี้ ก็เสมือนว่ามีกระบวนการทำ ซึ่งนายสมศักดิ์ เอกอุรุ ลูกพี่ลูกน้องนายประพร ก็ยังมาเล่าให้ผมฟังว่าได้ทำสัญญาเรื่องโฆษณาการขายปูนกับบริษัทเมซไซอะฯ ของนายประจวบ ก็เป็นความจริง โดยได้เชิญตัวแทนช่างปูน ช่างรับเหมาก่อสร้างในภาคใต้มาร่วมสัมมนา เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ ซึ่งจัดที่โรงแรมสมิหลา บีช จ.สงขลา โดยจัด 2 ครั้ง ซึ่งทางดีเอสไอก็ตรวจสอบแล้ว และพบว่ามีการจัดสัมมนาจริง โดยเป็นเอกสารภายในของโรงแรม ที่ลงวันที่ 27 ธ.ค.47 ซึ่งก็อยู่ในสำนวนของดีเอสไอแล้ว ทำไมร.ต.อ.เฉลิมถึงไม่พูดเรื่องนี้”

นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่าน้องสาวตนรับเงิน ยอมรับเป็นเรื่องจริง ไม่ปฏิเสธ ซึ่งนางมาลี ปัญญารักษ์ ทำธุรกิจที่ดินบ้านจัดสรร และมีการตั้งโรงงาน เหมือนที่ครอบครัวทำ โดยมีการตั้งบริษัท เพชร คอนกรีต ดีเวลลอปเมน จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท และมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานลงวันที่ 9 เม.ย.40 ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีก็ได้ไปทำโฆษณาที่จ.เพชรบุรี ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ได้ไปให้การกับดีเอสไอไว้หมดแล้ว ว่าบริษัทเมซไซอะ มาจ้างบริษัทน้องสาวผมทำอะไร แต่ร.ต.อ.เฉลิมก็ยังพูดไม่จริง ว่าน้องสาวรับทำโฆษณาให้บริษัทสมิหลา แต่น้องผมรับงานมาจากเมซไซอะฯ เพื่อมาทำโฆษณาที่ภาคกลาง อย่างนี้สิ่งที่ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวหาก็ไม่จริง

“ผมไม่มั่นใจว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรม ดีเอสไอเป็นองค์กรสอบสวนที่สำคัญ วันนี้คำให้การของน้องสาวผมมาอยู่ที่ร.ต.อ.เฉลิมได้อย่างไร ให้การต่อหน้าพนักงานสอบสวน แต่ที่ร.ต.อ.เฉลิมพูดเหมือนรู้หมดว่าไปทำสัญญาที่ไหนอย่างไร ซึ่งเขาก็ให้การไว้ชัดเจน แต่ท่านกลับพูดไปอีกทางหนึ่ง ท่านกล่าวหาว่าผมเป็นคนผิดและกล่าวหาว่าน้องสาวผมชี้รูปนายประจวบผิดอีก ท่านรู้ได้อย่างไรว่าชี้ผิด ซึ่งจริงๆ แล้วน้องสาวผมไม่ได้ชี้ แต่ไปให้การต่างหาก ท่านจงใจพูดเหมือนว่าเป็นความจริงและพูดเหมือนว่าน้องสาวรับรู้กับผมว่าทำอะไร น้องสาวผมมีวุฒิภาวะพอที่จะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯ ตรงไหน และที่สำคัญน้องสาวผมได้ทำหนังสือสัญญากับบริษัทเมซไซอะฯ อย่างชัดเจน ซึ่งถ้าผมไม่ชี้แจงวันนี้ ตัวผม น้องสาว ครอบครัว และพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเสียหาย

ทั้งนี้ ระหว่างการอภิปรายนายนิพนธ์ยังได้นำภาพถ่ายโรงงาน อาคเนย์ คอนกรีต จำกัก ของครอบครัว และบริษัท เพชร คอนกรีต ดีเวลลอปเมน รวมทั้ง เอกสารซึ่งเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายปูน กับบริษัท ทีพีไอ และหนังสือสัญญาว่าจ้างของบริษัทเมซไซอะฯ แสดงต่อที่ประชุมด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น