ASTVผู้จัดการรายวัน - "พิชิต" แจงกองทุน "วายุภักษ์" จ่ายปันผลรอบปีหนู 4.5% ต่ำสุดตั้งแต่จัดตั้ง เหตุบอร์ดห่วงสถานการณ์ลงทุนปี 2552 เลวร้าย ต้องกันสำรองเพื่อจ่ายปันผล และรอลงทุนในอนาคต หวังทำกำไรจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ระบุปีนี้ เน้นลงทุนอนุรักษ์นิยมมากขึ้น พร้อมลดสัดส่วนหุ้นลงแล้ว ด้านผลประกอบการ MFC ปี 2551 ขาดทุน 43.62 ล้านบาท รับผลพวงวิกฤตเศรษฐกิจโลก
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) เปิดเผยถึงการจ่ายผลตอบแทนของกองทุนในปี 2551 ในอัตรา 4.5% ซึ่งต่ำกว่าทุกครั้งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาว่า เนื่องจากคณะกรรมการการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ เป็นห่วงสถานการณ์การลงทุนในปี 2552 ว่าจะเลวร้ายกว่าปีที่ผ่านมา อาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรของกองทุนในปีนี้อาจมีความเสี่ยงมากกว่าปี 2551 ดังนั้น จึงมีมติให้จ่ายปันผลในอัตรา 1.5% ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้รวมแล้วทั้งปีกองทุนจ่ายไป 4.5% ดังกล่าว
“เป็นที่รู้กันว่าปีนี้จะหนัก ดังนั้นการลงทุนทั้งต่างประเทศและในประเทศไม่ดีแน่ๆ ทำให้กองทุนจ่ายเงินปันผลแบบอนุรักษ์นิยมในงวดครึ่งหลังของปี 2551 จ่ายในอัตรา 1.5% เท่านั้น รวมทั้งปีจ่าย 4.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา” นายพิชิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนปันผลระดับ 4.5% ต่อปี ยอมรับเป็นอัตราที่ต่ำ แต่ไม่อยากให้นักลงทุนกังวล เพราะถึงอย่างไรกองทุนต้องจ่ายเงินปันผลในอัตรา 3% ต่อปีตามเงื่อนไขอยู่แล้วและปัจจุบันมีเงินสำรองไว้จ่ายปันผลไปจนครบอายุกองทุนรวม 10,500 ล้านบาท หรือปีละ 2,100 ล้านบาท ซึ่งเงินในส่วนนี้ ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ อย่างไรก็ตาม กองทุนเองยังมีเงินสำรองอยู่ในพอร์ตพอสมควร ซึ่งในส่วนนี้ คณะกรรมการให้สำรองเอาไว้ก่อนเพื่อเก็บเอาไว้ใช้เพื่อลงทุนในอนาคต เพราะมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้นหลังจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น
"ผลจากการจ่ายเงินปันผลที่ไม่สูงทำให้มีเงินสำรองเก็บไว้และบริหารสภาพคล่อง ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนประมาณ 7,000-9,000 ล้านบาท ทำให้กองทุนมีเงินสดเพียงพอที่สามารถรอเก็บหุ้นปันผลดีๆ เข้าพอร์ตได้ ซึ่งอาจสร้างกำไรได้มากขึ้นเมื่อหุ้นปรับขึ้น ขณะเดียวกันสามารถนำเงินส่วนนี้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ด้วย"นายพิชิตกล่าว
สำหรับการลงทุนในปีนี้ จะอนุรักษ์นิยมและระมัดระวังมากขึ้นและได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงบ้างแล้ว ซึ่งปีนี้เองน่าจะหนักทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น และที่ผ่านมายังมีหุ้นดีและจ่ายปันผลสูงอยู่ในตลาดที่เรากำลังดูอยู่ปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มีมูลค่าหน่วยลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยอยู่ที่ 16 บาทกว่า ซึ่งมีกำไรส่วนเกิน 6 บาทต่อหน่วย และเมื่อกองทุนครบอายุ ก็จะคืนเงินส่วนนี้ให้ผู้ถือหน่วยลงทุน
นายพิชิตเปิดเผยต่อถึงผลประกอบการของบลจ.เอ็มเอฟซี ในปี 2551 ที่ผ่านมาว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 102.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.90 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.74 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2550 ซึ่งเท่ากับ 92.15 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 54.09 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับค่าธรรมเนียมการจัดการเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัท ฯ สามารถจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของงบการเงินรวมของบริษัท มีกำไรสุทธิสำหรับ ปี 2551 จำนวน 71.55 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 43.62 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.88 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2550 ซึ่งเท่ากับ 115.17 ล้านบาท โดยมีสาเหตุที่สำคัญคือการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนในบริษัทร่วม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและการลงทุนที่ปรับตัวลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศลดลง ประกอบกับในปีที่ 2551บริษัทมีการขยายธุรกิจเพิ่มกิจกรรมด้านการตลาดรวมทั้งด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขายผ่านสื่อต่างๆอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 งบการเงินรวม บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,417.27 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2550 จำนวน 19.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 1.39 สินทรัพย์รวมจากงบการเงินรวม ประกอบด้วย รายการหลักคือ เงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน(สุทธิ) จำนวน 632.36 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.62 ของสินทรัพย์รวม รายการเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม(สุทธิ)จำนวน 284.04 ล้านบาท หรือร้อยละ20.04 ของสินทรัพย์รวม และรายการเงินฝากระยะยาวในสถาบันการเงิน จำนวน 254.92 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 17.99 ของสินทรัพย์รวม และณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551งบการเงินรวม บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 102.25 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2550 จำนวน 6.05 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.59
สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน 1,315.02 ล้านบาท ลดลงจากสิ้น ปี 2550 จำนวน 13.75 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.03 โดยเป็นผลจากส่วนต่ำกว่าทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศลดลง