รองปลัด มท.เข้าชี้แจง กมธ.ยุติธรรม กรณีโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ย้ำฝ่ายบริหารงานไม่สนองตอบนโยบาย ด้าน “สุกิจ” ยันมีหลักฐานฝ่ายการเมืองล้วงลูกงบประมาณ หวังแสวงหาผลประโยชน์ ลั่นขอสู้คดีในชั้นศาล
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการการยุติธรรม กฎหมายและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน ทั้งนี้ได้เชิญนายสุกิจ เจริญรัตนกุล อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น มาชี้แจงกรณีถูกโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยอย่างไม่เป็นธรรม ขณะที่นายวิชัย ศรีขวัญ รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้นายต่อพงษ์ อ่ำพันธุ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยมาชี้แจงแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมนายประชาได้ซักถามถึงเหตุผลการโยกย้ายนายสุกิจและผู้ว่าราชการทั้ง 28 คนว่าเกิดจากเหตุผลทางการเมืองหรือไม่ และได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ อย่างไร ขณะที่ นายสุทัศน์ เงินหมื่น ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ได้ซักถามถึงการจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองฯที่มีข้อครหาว่า บางท้องถิ่นต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะจึงจะได้รับการจัดสรรว่าจริงหรือไม่ รวมถึงมีแก๊งตุ้มตุ๋นไปตามจังหวัดต่างๆ ว่าสามารถช่วยฝากคนเข้าทำงานในกรมนี้ได้ แต่ต้องเสียค่านายหน้าเป็นจำนวนนับแสนบาท ซึ่งเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้น่าจะเกี่ยวพันกันด้วย โดยขอให้นายสุกิจพูดต่อที่ประชุมตรงๆ ว่า เงิน 12,000 ล้านบาท ที่เคยระบุว่ามีนักการเมืองต้องการเข้ามาแสวงหาประโยชน์นั้นคืออะไร และนายสุกิจไปกระทำการขัดใจใคร
นายต่อพงษ์กล่าวถึงเหตุผลการโยกย้ายในครั้งนี้ว่า น่าจะเป็นการย้ายเพื่อความเหมาะสม และส่วนหนึ่งคิดว่าน่าจะมาจากการบริหารงานที่ไม่ราบรื่นกับฝ่ายนโยบาย และเพื่อเป็นการป้องกันก่อนเกิดปัญหาในการเซ็นอนุมัติโครงการที่ยังเหลืออยู่ในกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวง เนื่องจากคณะกรรมการชุดดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วในสมัยที่นายพงษ์โพยม วาศภูติ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยในปี 2551 ดังนั้น ครั้งนี้จึงเป็นการหารือกันระหว่างปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ส่วนจะมีรัฐมนตรีคนอื่นร่วมรับรู้หรือพิจารณาด้วยหรือไม่ตนไม่ทราบ
ด้าน นายสุกิจ กล่าวว่า ยืนยันว่าเหตุผลของการถูกโยกย้ายมาจากเหตุผลทางการเมืองที่ตนไม่สนองตอบด้านงบประมาณ พิจารณาจากมีการเรียกข้าราชการที่ดูแลในแต่ละกรมที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณในส่วนต่างๆ เข้าพบสัปดาห์ละหลายครั้ง หรือบางกรมก็เรียกพบแทบทุกวัน โดยเฉพาะสำนักที่ถูกเรียกพบบ่อยสุด คือ สำนักฯ ที่ดูแลงบอุดหนุนเฉพาะกิจ 1.2 หมื่นล้านบาท และงบยุทธศาสตร์ตามจังหวัด 2,999 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น มีงบประมาณแยกตามโครงการต่างๆ ทั้งด้านยุทธศาสตร์ งบที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก และงบประมาณอุดหนุนท้องถิ่นรวมแล้วมูลค่า 3หมื่นล้านบาท นี่คือเหตุผลที่ตนถูกย้าย บางครั้งข้าราชการก็ต้องยอมฝ่ายการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม อาทิ สั่งการให้ตนทำผิด พ.ร.บ.งบประมาณ และมีการขู่ว่าหากไม่ทำจะถูกย้ายหรือถ้าทำแล้วจะเลื่อนให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น
นายสุกิจกล่าวอีกว่า การโยกย้ายตนในครั้งนี้ขอยืนยันว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ย้ายยึดเพียงแค่หนังสือของ ก.พ.ที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ทำให้หนังสือดังกล่าวไม่สมบูรณ์ แทนที่จะยึดถือกฎ ก.พ. ถือเป็นการใช้อำนาจแทรกแซงจากรัฐมนตรีอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีการแสวงหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐจริง เพราะกรมนี้หาประโยชน์ได้ง่าย เนื่องจากเป็นงบที่แยกย่อยไปตามโครงการ จึงเป็นงบที่ใช้แจกจ่ายพรรคพวกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและกีดกันฝ่ายตรงข้าม สมัยตนดำรงตำแหน่งอธิบดีก็มีความทุรนทุรายที่จะขอเพิ่มชื่อคนที่สอบบรรจุเป็นพนักงานท้องถิ่นไม่ได้ลงไปทั้งที่กรมได้มีการประกาศผลสอบไปแล้ว ตนไม่เข้าใจว่าที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทยอ้างว่าตนถูกย้ายเพราะทำงานไม่ราบรื่นนั้น หมายถึงไม่ตามใจนักการเมืองใช่หรือใม่ เพราะคนพวกนี้มีผลประโยชน์เกื้อกูลกับฝ่ายการเมือง ซึ่งการป้องกันตนเองด้วยการ ลงประกาศผลสอบและการอนุมัติทุกโครงการของกรมลงในเว็บไซต์ ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่พอใจมาก เพราะเมื่อเข้าไปดูแล้วจะทำให้รู้ว่างบประมาณไปกระจุกตัวในจังหวัดใดบ้าง ทุกวันนี้มีการกระจุกตัวของรายได้กันอย่างมาก โดยเทศบาลเล็ก และ อบต.มีรายได้แค่ 10 ล้านบาทเศษ แต่กลับไปกระจายอยู่ตามเทศบาลและ อบต.ใหญ่ๆ
นายสุกิจกล่าวด้วยว่า การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 1 ล้านล้านบาทเมื่อเร็วๆนี้ ท้องถิ่นได้รับการจัดสรร 4 แสนล้านบาทนั้น ตนทราบหมดว่าจริงๆ แล้วมันไปตกอยู่ที่ไหน เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ ขณะนี้เป็นเพียงแค่การเปิดวาล์วน้ำแบบจำกัด เลยทำให้ยังไม่เห็นว่ามีการกระจุกตัวอยู่ที่ไหนบ้าง เป็นสาเหตุที่ทำให้ตนต้องสั่งยกเลิกคณะกรรมการกลั่นกรองงบประมาณ ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ตนได้ตั้งขึ้นมาเองตั้งแต่เดือน ธ.ค.2551 เพื่อเป็นการป้องกันตนเองที่อาจถูกกล่าวหาว่าเร่งรัดอนุมัติของโครงต่างๆ แล้ว เนื่องจากมีฝ่ายการเมืองเสนอคนของตัวเองเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองด้วย แบบนี้จะมาอ้างว่าตนทำให้การทำงานไม่ราบรื่นได้อย่างไร และหลังจากตั้งคณะกรรมการชุดนี้ ก็มีการประชุมเพียงแค่ 3 ครั้ง เพราะฝ่ายการเมืองสั่งห้ามไม่ให้ประชุม การยกเลิกคณะกรรมการฯชุดนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทั้งนี้ตนจะนำข้อมูลลับทั้งหมดไปต่อสู้ในชั้นศาลด้วย