มติ ครม.เห็นตามที่กระทรวงศึกษาฯเสนอคงอัตรากำลังพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอน 1,639 ตำแหน่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ชี้ เหตุความไม่สงบทำข้าราชการครูขอย้ายออกพื้นที่
วันนี้ (17 มี.ค.) นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้คงกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ (ตำแหน่งครูผู้สอน) จำนวน 1,639 อัตรา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สำนักเขตพื้นที่การศึกษา นราธิวาส เขต 1 เขต 2 เขต 3 ปัตตานี เขต 1 เขต 2 เขต 3 ยะลา เขต 1 เขต 2 เขต 3 และสงขลา เขต 3) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
นายปณิธาน กล่าวว่า เนื่องจากกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ 4 ปี รอบแรกสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.2548-2551 ได้ครบกำหนดระยะเวลา 4 ปี ในวันที่ 30 ก.ย.2551 ประกอบกับการขออนุมัติกรอบอัตราพนักงานราชการ จำนวน 1,639 อัตราดังกล่าว ในขณะนั้นยังไม่ได้มีการประกาศจัดตั้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นราธิวาส เขต 3 ปัตตานี เขต 3 ยะลา เขต 3 ดังนั้นกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 3 เขตที่ตั้งใหม่ดังกล่าวจะรวมอยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเดิมของแต่ละจังหวัด และ สพฐ.ได้จัดทำกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552-2555 ให้ คพร.พิจารณาซึ่ง คพร.แจ้งว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (8 พ.ค.50) ให้เพิ่มกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการสำหรับสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ.2550-2551 กลุ่มงานบริหารทั่วไปตำแหน่งครูผู้สอนรวม 1,639 อัตรา ระยะเวลาตามนัยแห่งมติคณะรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้าราชการครูได้ขอย้ายออกนอกพื้นที่ มีผลกระทบต่อปัญหาขาดแคลนอัตรากำลังครูของสถานศึกษา ในการแก้ปัญหาที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบ อัตรากำลังพนักงานราชการจำนวน 1,639 อัตรา เพื่อรองรับอัตราจ้างครูรายเดือนทดแทนข้าราชการครูที่ขอย้ายออกนอกพื้นที่ดังกล่าว เป็นการช่วยแก้ปัญหาสภาพขาดครู และทำให้ครูอัตราจ้างเหล่านั้นมีขวัญกำลังใจ มีความรู้สึกมั่นคงในอาชีพ ประกอบกับปีงบประมาณ พ.ศ.2552 สพฐ.ได้รับงบประมาณ งบบุคลากร ค่าตอบแทนพนักงานราชการ เพื่อจ้างต่อเนื่องตามกรอบอัตรากำลัง จำนวน 1,639 อัตรา จำนวนเงิน 214,577,900 บาทด้วยแล้ว จากเหตุผลความจำเป็นและผลกระทบดังกล่าวข้างต้น กระทรวงศึกษาธิการจึงคงกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,639 อัตราตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เป็นต้นไป
วันนี้ (17 มี.ค.) นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้คงกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ (ตำแหน่งครูผู้สอน) จำนวน 1,639 อัตรา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สำนักเขตพื้นที่การศึกษา นราธิวาส เขต 1 เขต 2 เขต 3 ปัตตานี เขต 1 เขต 2 เขต 3 ยะลา เขต 1 เขต 2 เขต 3 และสงขลา เขต 3) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
นายปณิธาน กล่าวว่า เนื่องจากกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ 4 ปี รอบแรกสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.2548-2551 ได้ครบกำหนดระยะเวลา 4 ปี ในวันที่ 30 ก.ย.2551 ประกอบกับการขออนุมัติกรอบอัตราพนักงานราชการ จำนวน 1,639 อัตราดังกล่าว ในขณะนั้นยังไม่ได้มีการประกาศจัดตั้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นราธิวาส เขต 3 ปัตตานี เขต 3 ยะลา เขต 3 ดังนั้นกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 3 เขตที่ตั้งใหม่ดังกล่าวจะรวมอยู่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเดิมของแต่ละจังหวัด และ สพฐ.ได้จัดทำกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552-2555 ให้ คพร.พิจารณาซึ่ง คพร.แจ้งว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (8 พ.ค.50) ให้เพิ่มกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการสำหรับสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ.2550-2551 กลุ่มงานบริหารทั่วไปตำแหน่งครูผู้สอนรวม 1,639 อัตรา ระยะเวลาตามนัยแห่งมติคณะรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้าราชการครูได้ขอย้ายออกนอกพื้นที่ มีผลกระทบต่อปัญหาขาดแคลนอัตรากำลังครูของสถานศึกษา ในการแก้ปัญหาที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบ อัตรากำลังพนักงานราชการจำนวน 1,639 อัตรา เพื่อรองรับอัตราจ้างครูรายเดือนทดแทนข้าราชการครูที่ขอย้ายออกนอกพื้นที่ดังกล่าว เป็นการช่วยแก้ปัญหาสภาพขาดครู และทำให้ครูอัตราจ้างเหล่านั้นมีขวัญกำลังใจ มีความรู้สึกมั่นคงในอาชีพ ประกอบกับปีงบประมาณ พ.ศ.2552 สพฐ.ได้รับงบประมาณ งบบุคลากร ค่าตอบแทนพนักงานราชการ เพื่อจ้างต่อเนื่องตามกรอบอัตรากำลัง จำนวน 1,639 อัตรา จำนวนเงิน 214,577,900 บาทด้วยแล้ว จากเหตุผลความจำเป็นและผลกระทบดังกล่าวข้างต้น กระทรวงศึกษาธิการจึงคงกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,639 อัตราตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 เป็นต้นไป