“วิปฝ่ายค้าน” เริ่มเอาแน่ไม่ได้ ตีรวน ยื่นหนังสือสองฉบับแยกเนื้อหา วอน “ชัย” ขอขยายเวลาอภิปรายเป็น 3 วัน อ้างเพื่อทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ แถมบอกสภาติดวาระประชุมเรื่องสำคัญ แต่กลับฟ้อง “อภิสิทธิ์” นัดวันเวลาผิดข้อบังคับ กล่าวหานายกฯ แอบลักลอบหารือ “ชัย” กำหนดวันซักฟอก หวังเอาเปรียบฝ่ายค้าน ทั้งที่มีวาระประชุมเรื่องอื่น ชี้เป็นการทำตามอำเภอใจ เหน็บไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตยก็ขอให้ฝ่ายค้านได้ตรวจสอบเต็มที่
วันนี้ (17 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายวิทยา บุรณะศิริ ประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับถึงนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาสาระแตกต่างกัน ซึ่งหนังสือที่ทำถึงประธานสภาฯระบุว่าตามที่ประธานสภาฯได้มีดำริและมีระเบียบวาระการประชุมสภาฯให้พิจารณาญัตติด่วนอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลในวันที่ 19-20 มี.ค. วิปฝ่ายค้านได้ประชุมและมีมติเห็นว่าการกำหนดวันประชุมดังกล่าวไม่มีความเหมาะสม เพราะ (1.ในเบื้องต้นประธานรัฐสภาได้กำหนดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของหน่วยประจำชาติไทยใน IPU APPU และAIPA พ.ศ.2551 ในวันที่ 20 มี.ค.2552 (2.การกำหนดวันอภิปรายฯไว้ 2 วันฝ่ายค้านเห็นว่าการตรวจสอบมีความจำเป็นและสำคัญควรใช้จำนวนวันอภิปรายฯ ไม่น้อยกว่า 3 วัน ดังนั้น เพื่อให้การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นไปโดยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมวิปฝ่ายค้านจึงมีมติขอให้ประธานสภาทบทวนการกำหนดวันการอภิปรายฯ หากไม่สะดวกกระทำในสัปดาห์นี้ควรกำหนดเป็นสัปดาห์ต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ทำงานด้านการตรวจสอบอย่างเต็มที่ ในฐานะตัวแทนของประชาชน อีกทั้งเป็นไปตามที่นายกฯ ได้ดำริไว้ด้วย
สำหรับหนังสือที่ทำถึงนายกฯระบุว่า การดำเนินการของประธานสภาฯที่ได้กำหนดวันอภิปรายเป็นวันที่ 19-21 มี.ค.ได้กระทำการอันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมายาวนานที่สร้างหลักประกันในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน คือ 1.เป็นการขัดข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากวันที่ 19-20 มี.ค.ประธานสภาฯ ได้เป็นผู้กำหนดวาระการประชุมที่สำคัญไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น การจะเปลี่ยนวาระการประชุมมาเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจซ้อนเข้าไปนั้นจะต้องเป็นมติในที่ประชุมสภาฯ การกระทำของประธานสภาฯ จึงเป็นการทำโดยอำเภอใจของประธานสภาฯ 2.ตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันของสภา วิปทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะต้องปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อให้กลไกของระบบรัฐสภาเดินได้อย่างราบรื่น อันจะก่อประโยชน์ต่อประชาชน แต่ปรากฏว่าการกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ได้กระทำโดยไม่ได้มีการหารือกับวิปฝ่ายค้านเลย ซึ่งจะทำให้การประสานงานในสภาฯ เกิดข้อขัดข้องและไม่ราบรื่นได้ในอนาคต
3.อนึ่ง การเข้าดำรงตำแหน่งของนายกฯก็มีข้อครหาต่อสังคมว่ามาโดยมิชอบด้วยแนวทางประชาธิปไตย และเมื่อนายกฯ ได้บอกต่อสาธารณชนแล้วว่าควรจะให้เวลาและโอกาสแก่ฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเต็มที่และกำหนดวันเวลาที่เหมาะสมคือ วันที่ 26-27 มี.ค.2552 แล้ว แต่กลับมีข่าวปรากฏต่อสาธารณชนว่านายกฯ และประธานสภาฯได้มีการหารือกันอย่างลับๆกับบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของประธานสภาฯ และมีความเห็นตามบุคคลดังกล่าวให้ร่นเวลาการอภิปรายให้เร็วขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองมาเป็นวันที่ 19-20 มี.ค.2552 โดยคาดหวังว่าจะเอาเปรียบทางการเมืองกับฝ่ายค้าน
ดังนั้น การกระทำดังกล่าวของประธานสภาฯ จึงไม่เพียงแต่ขัดระเบียบข้อบังคับและละเมิดประเพณีของสภาฯเท่านั้นแต่สร้างความมัวหมองให้นายกฯ ด้วยว่า ไม่เพียงแต่สังคมคลางแคลงใจต่อการเข้ามาเป็นนายกฯ โดยไม่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่นายกฯ ยังมีจิตใจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยหาประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้านอีกด้วย ทั้งนี้ พวกข้าพเจ้าในนามของวิปฝ่ายค้าน จึงเห็นว่าเพื่อเป็นการปกป้องภาพลักษณ์ของนายกฯ จึงขอให้นายกฯ ได้โปรดปรึกษาหารือกับประธานสภาฯ และกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจตามที่นายกฯ ได้แจ้งต่อสาธารณชนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งชอบด้วยกฎระเบียบข้อบังคับและประเพณีที่ถือปฏิบัติมายาวนานด้วย