“สมเกียรติ” เคาะ “ม็อบเสื้อแดง” อ่อนกำลัง เพราะแตกคอกันเอง เชื่อ “อดีตนายกฯ” จนตรอก-คิดการใหญ่ใช้ยุทธการ “ทุบหม้อข้าว” หวังสู้ศึกครั้งสุดท้าย ด้าน “ประพันธ์” แฉ “ฝ่ายค้าน” ตีปี๊บซักฟอก หวังใช้ช่องโหวต “ไม่ไว้วางใจ” ซื้อตัว ส.ส. ขณะที่ “สนธิ” สมเพช “นช.แม้ว” ผวาคุก เหตุเพราะใช้เงินซื้อ “มวลชน”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี คืนวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเปิดประเด็นซักถามนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษา รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึงการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มเสื้อแดง โดยนายสมเกียรติ กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายระบอบทักษิณนอกสภา ซึ่งมีกลุ่มเสื้อแดงเป็นแกนกลาง เริ่มอ่อนแรงลง โดยจะเห็นได้ปริมาณคนที่เข้าร่วมชุมนุมเริ่มน้อยลง เพราะกลุ่มเสื้อแดงแตกคอกันเอง ฉะนั้นระบอบทักษิณ จึงอาจจะตัดสินใจทำการใหญ่
“เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือ การยุบสภา เพราะถ้าหากให้รัฐบาลชุดปัจจุบันยืนยาวต่อไป เครือข่ายระบอบทักษิณ ก็จะถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะเข้าไปเจาะกลไกระบบข้าราชการ โดยจะเสริมคนของตัวเองเพื่อเข้าไปเพิ่มพลังอำนาจในกลไกราชการทั้งหมด ถ้าระบอบทักษิณ ให้ม็อบเสื้อแดงอยู่นานเกินไป ก็จะสิ้นเปลืองเงินจำนวนมาก ฉะนั้นในเร็วๆ นี้ เขาจะต้องตัดสินใจทำการใหญ่ โดยการปิดล้อมการทำงานของรัฐบาล”นายสมเกียตริ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ เขาจะเอายุทธการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปใช้ทั้งหมด โดยเฉพาะยุทธการดาวกระจาย ซึ่งถือเป็นกลยุทธสงครามครั้งสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งต้องการที่จะกลับมาต่อสู้ในประเทศไทย ที่สำคัญ แผนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังลดน้อยถอยลง เนื่องจากปริมาณคนที่เข้าร่วมเริ่มที่จะตีจาก โดยเฉพาะกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ ฉะนั้นการแบ่งกำลังเพื่อทำการใหญ่ในขณะนี้ ก็คือการประกาศว่าจะชุมนุมยืดเยื้อ 3 วัน ซึ่งประเด็นยุทธการดาวกระจายไปยึดสถานที่ใดนั้น ตนไม่เป็นห่วง แต่ตนเป็นมากที่สุดในขณะนี้คือ กลุ่มผู้ชุมนุมจะอยู่ได้เกิน 3 วัน หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของประชาชนว่าจะเอาด้วยหรือไม่
ส่วนขีดขีดความสามารถของแกนนำ นปก.ในขณะนี้นั้น นายสมเกียตริ กล่าวว่า แกนนำ นปก.คงเหลือกลยุทธเพียงอย่างเดียว คือ กลยุทธทุบหม้อข้าวเข้าตีเมือง ซึ่งถือเป็นจุดแตกหัก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่างประเทศนั้นมีแต่ความยากลำบาก เพราะเขาไร้ราคาที่จะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เนื่องจากประเทศที่เคยเป็นเพื่อนมิตรฯ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธกันหมดแล้ว ฉะนั้นกลยุทธที่เหลืออยู่คือ การดึงกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลกลับ โดยเขาพยายามเปิดเผยข้อมูลด้านลบของรัฐบาลต่อสาธารณะ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาจึงเปลี่ยนแผนมาใช้การอภิปรายในสภา โดยหยิบเอาเรื่องกิ๊ก หรือเปิดโปงในเรื่องศีลธรรม
“อย่างบทวิเคราะห์ของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นั้น ค่อนข้างที่จะชัดเจนเรื่องการอภิปรายในครั้งนี้ว่า คงจะทำอะไรกันไม่ได้มาก เพราะ ส.ส.แต่ละคนหากไม่เชื่อมั่นระบบน้ำหล่อเลี้ยง เขาก็ไม่อยากยุบสภา ฉะนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องตัดสินใจทำการใหญ่โดยทุบหม้อข้าวเข้าตีเมือง ซึ่งเป็นสงครามห้ำหั่นครั้งสุดท้าย ฉะนั้นการอภิปรายในครั้งนี้จะจืดชืด”แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ
ด้าน นายประพันธ์ กล่าวกรณีเดียวกันว่า เวลานี้ประเด็นที่จะจุดให้มวลชนลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวนั้น คงจุดไม่ขึ้นแล้ว เพราะทั้งข้อเรียกร้อง รูปแบบวิธีการเคลื่อนไหว การบริหารจัดการภายใน และการถูกแทรกแซงจากกลุ่มอื่นๆ นั้น รวมทั้งอำนาจรัฐก็ไม่ได้เป็นใจ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ตนอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้กลยุทธกลับมาประเทศไทย โดยยอมติดคุกเพื่อหาคะแนนสงสาร แล้วจุดประเด็นให้คนลุกขึ้นสู้ จะได้รู้ว่าบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหลืออยู่เท่าใด
“ผู้นำคนสำคัญของโลก ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธดังกล่าวมากมายหลายคน แต่บุคคลเหล่านั้นมีมวลชนรัก มีอุดมการณ์เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน แต่หากคนโกงอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้ยุทธการดังกล่าวเพื่อขอความเห็นใจ ผมก็อยากจะรู้ว่าทฤษฎีที่ว่านี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะอาจจะเป็นแสงไฟจากปลายอุโมงค์ หรืออาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขาก็เป็นไปได้ ฉะนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนั้น ผมคิดว่าฝ่ายค้านไม่ได้คาดหวังว่าจะมีข้อมูลเด็ดที่จะล้มรัฐบาล แต่เมื่อมีการอภิปรายแล้ว มันจะมีช่องทำให้เกิดการโหวตไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจ ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นกระบวนการที่เขาจะเข้าไปจัดการโดยการทุ่มเงินในยกสุดท้าย เพราะเขาสามารถซื้อตัว ส.ส.ที่จะโหวตในครั้งนี้ได้”นายประพันธ์ กล่าว
จากนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ต่อสายโทรศัพท์ร่วมวิเคราะห์กรณีเดียวกันว่า ตนมีความเห็นคือ หากเราเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าเรากล้าที่จะกลับประเทศเพื่อต่อสู้คดี เพราะเรารู้ว่ามวลชนร่วมต่อสู้กับเราด้วยใจ แต่บังเอิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เงินดึงมวลชนเข้าร่วม ฉะนั้นหาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศเพื่อยอมติดคุก คงต้องใช้เงินจ้างมวลชนเพื่อเคลื่อนไหวจำนวนหลายพันล้านบาท ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนกลัวตาย คงไม่กล้ากลับประเทศ
“ส่วนเรื่องการใช้เงินจ้าง ส.ส.ให้โหวตไม่ไว้วางใจในการอภิปรายครั้งนี้นั้น คงเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อครั้งที่สายของนายเนวิน สามารถเข้าร่วมกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ เพราะเขาจ่ายเงินสดกัน ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับปากว่าจะให้เงินมากกว่า แต่กลับให้เงินวางมัดจำแค่เพียง 5 ล้านบาท ทำให้ ส.ส.เกิดความไม่ไว้ใจ จึงเทไปข้างนายเนวิน ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของกลุ่มเสื้อแดง และระบอบทักษิณ”นายสนธิ ระบุ