xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ยัน กกต.เสียงไม่แตก ยกคำร้อง “เนวิน” จุ้นตั้ง รบ.ไม่ผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประพันธ์ นัยโกวิท
“ประพันธ์” ยัน กกต.เสียงไม่แตกกรณีมีมติยกคำร้อง “เนวิน” จัดตั้งรัฐบาล ย้ำผู้ถูกเพิกสิทธิห้ามเฉพาะจัดตั้งพรรคการเมืองหรือเป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น รับประกันยึดหลักความเป็นกลาง ต่างจาก กกต.ยุค 3 หนา

วันนี้ (20 ก.พ.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในกรณี กกต.มีมติยกคำร้องที่กล่าวหาว่านายอภิสทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดึงนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล มติ กกต.ในเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเป็นความเห็นของ กกต.แต่ละคน อีกทั้งการพบและจับมือกันของนายอภิสิทธิ์ และนายเนวินก็ไม่เป็นการการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็ห้ามผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองดำเนินการในเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง จึงไม่เข้าข่ายความผิด

“ตอนที่ยกร่างฯ พ.ร.บ.พรรคการเมืองครั้งแรก มีการใช้คำว่าห้ามผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งถ้าคำนี้ยังอยู่ก็จะสามารถเอาผิดได้ แต่ก็มีการพิจารณาว่าหากใส่คำนี้ไว้อาจจะขัดรัฐธรรมนูญจึงได้ตัดออก ทำให้ไม่ครอบคลุมถึงในข้อกฎหมาย ส่วนที่เสียงข้างน้อยให้สอบสวนเพิ่ม เพราะเห็นว่าไหนๆ ก็สอบแล้วก็ให้สอบให้ครบถ้วนว่าเขาไปคุยอะไรกันบ้าง”

เมื่อถามว่ามติ กกต.จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้บุคคลในบ้าน 111 ในการทำกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า บรรทัดฐานของกฎหมายเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ก็ต้องไปดูว่า มันเข้าข้อห้ามว่าเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ อย่างเช่นถ้าไปขึ้นเวทีหาเสียง ให้สมาชิกพรรคก็เข้าข่ายเป็นการทำหน้าที่ ของกรรมการบริหารพรรค ที่ตามข้อบังคับพรรคเองก็ระบุว่าการรณรงค์หาเสียงของพรรคเป็นหน้าของกรรมการบริหาร อีกทั้งก่อนหน้านี้ กกต.ก็เคยตอบข้อหารือว่าผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ถ้าไปหาเสียงให้พรรคการเมืองเหมือนเป็นการทำหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค จึงแนะนำว่าอาจจะเข้าข่ายความผิด ดังนั้นต้องดูเป็นเรื่องๆไป ถ้าข้อมูลมีเพียงว่าเขามานั่งคุยกัน เชียร์สนับสนุนกันก็ต้องดูว่าสิ่งที่เขาคุยกันนั้น มันเข้าข่ายทำหน้าที่เสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ แต่จากข้อเท็จจริงที่สอบสวนก็ไม่ปรากฎไปในลักษณะนั้น ที่ประชุม กกต.จึงเห็นว่าไม่เข้าข่าย

“ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต.ไม่ได้อุ้ม เพราะไม่รู้จะไปอุ้มใคร ช่วยใครทำอะไร ไม่มีหรอก เราพิจารณาไปตามหลักฐานข้อกฎหมายทั้งหมด พรรคประชาธิปัตย์ กกต.ก็เคยให้ใบแดงไปตั้งหลายเรื่อง เพราะเราพิจารณาตามพยานหลักฐานในทุกเรื่องที่มีการร้องเรียนเข้ามา และมติกกต.ที่ออกมาในเรื่องนี้ไม่มีเรื่องเสียงแตก 2 เสียงข้างน้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผม ก็เห็นว่าน่าจะสอบเพิ่มพยานบุคคลและสอบให้ครบ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่คนที่เป็นเสียงข้างมากก็เห็นว่าหลักฐานพอให้วินิจฉัยแล้วและบางส่วนก็เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของดุลพินิจ ถือเป็นความสวยงามของประชาธิปไตย รวมทั้งเชื่อว่า กกต.ชุดนี้จะไม่มีทางซ้ำรอย กกต.ยุค พล.ต.อ.วาสนา เพราะเราทำตามกฎหมาย ทำด้วยความเป็นกลาง จริงอยู่ว่าคำวินิจฉัยของ กกต.จะเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เราก็ทำตามหลักฐานด้วยความเป็นกลาง”

ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า อนุกรรมการไต่สวนที่สอบสวนก็พบว่าไม่เข้ามาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการพูดคุยในเชิงการเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือไม่ด้วย ซึ่งมีเพียงแค่ภาพถ่ายและข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น และการที่พบกันจะฟังได้อย่างไรมีข้อเท็จจริงหรือไม่ และที่ผู้ร้องร้องมาก็สอบได้เพียงแค่นี้ตามข้อกฎหมาย ยืนยัน 5 กกต.ไม่ได้ไปอุ้มใครทั้งสิ้น และกกต.3 เสียงที่เห็นควรยุติเรื่องก็บอกว่า สอบมาน่าจะเพียงพอแล้วจะให้ไปสอบเพิ่มเติมอีกได้อย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น