เมื่อดูจากพฤติกรรมของคนร้ายลงมือก่อเหตุถือว่า “ไม่ธรรมดา” น่าจะเป็นระดับมืออาชีพ เพราะลงมือต่อหน้าคนจำนวนมาก กลางวันแสกๆ อย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งน่าจะทำตามใบสั่งของ “ไอ้โม่ง” ที่บงการอยู่เบื้องหลัง มีเจตนาต้องการข่มขู่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ต้องบอกว่าเหตุการณ์คนร้ายใช้ท่อนเหล็กแป๊บลอบทำร้ายร่างกาย ต่อพงษ์ เศวตามร์ บรรณาธิการข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน และ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อตอนเช้าวานนี้ (16 ก.พ.) ระหว่างเดินกลับจากการจัดรายการวิทยุคลื่น 97.75 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งอยู่ในซอยรามบุตรี แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. จนได้รับบาดเจ็บ ศีรษะแตกเลือดอาบ ต้องเย็บ 5 เข็ม ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจอย่างยิ่ง เพราะคนร้ายลงมือกลางวันแสกๆ ต่อหน้าชาวบ้านเป็นจำนวนมาก
การกระทำดังกล่าวจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมีเจตนาข่มขู่ คุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างชัดเจน แม้ว่าเป็นการเสนอข่าวในแวดวงบันเทิง แต่เป็นลักษณะเฉพาะในแบบของ “ASTV ผู้จัดการ” ที่ไม่ใช่เน้นเฉพาะดาราคนนั้นไปนอนกับคนนี้ มีกิ๊กกับคนโน้น หรือเน้นขายภาพปาปารัซซี่ แต่มุ่งนำเสนอความจริง ความไม่ชอบมาพากลในวงการอย่างรอบด้าน
หากย้อนไปไม่นานจะพบว่า มีการรายงานข่าวขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากล การทุจริตใจ เปิดโปงมาเฟียในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คนเหล่านั้นมีความเคียดแค้นที่ความจริงถูกเปิดเผย ถูกกระชากหน้ากากออกมา
ในระยะสองสามสัปดาห์ก่อน ในหน้าบันเทิงของ “ASTV ผู้จัดการ” ได้เปิดโปงเรื่องผลประโยชน์มหาศาลในการจัดผังรายการใน ททบ.5 ที่เกี่ยวพันกับ “บิ๊กสีเขียว” คนหนึ่ง
ล่าสุดยังเสนออีกแง่มุมหนึ่งของผู้กว้างขวางในวงการบันเทิง ที่กำลังมีคดีฟ้องร้องกันอยู่ ชนิดที่เรียกว่า “ลากไส้กันแบบถึงกึ๋น” กันเลยทีเดียว หรือกรณีดาราดังคนหนึ่งที่เกี่ยวพันกับวงการเกย์และกรณีนี้มีการโทรศัพท์ข่มขู่มานับสิบครั้ง
ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องความไร้จริยธรรมของนักการเมืองระดับชาติอันทรงอิทธิพล มีพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก หน้าฉากสร้างภาพรักครอบครัวแต่ลับหลังกลับตรงกันข้าม มีแต่เรื่องอื้อฉาวคาวสวาทกับดารา นักร้องรุ่นลูกรุ่นหลาน นอกเหนือจากเรื่องทุจริตมโหฬาร
ดังนั้น หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ดังกล่าวมาทั้งหมด พอจะสรุปได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากผู้ที่เสียผลประโยชน์ มีความโกรธแค้นจ้างคนมาลอบทำร้าย ซึ่งมาจากเรื่องการทำหน้าที่ในวิชาชีพ
เมื่อดูจากพฤติกรรมของคนร้ายลงมือก่อเหตุถือว่า “ไม่ธรรมดา” น่าจะเป็นระดับมืออาชีพ เพราะลงมือต่อหน้าคนจำนวนมาก กลางวันแสกๆ อย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งน่าจะทำตามใบสั่งของ “ไอ้โม่ง” ที่บงการอยู่เบื้องหลัง มีเจตนาต้องการข่มขู่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพราะก่อนลงมือได้มีการดูลาดเลา สตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์จอดรออย่างใจเย็น ส่วนอีกคนหนึ่งได้ซุ่มอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อรอจังหวะ
เมื่อคนลงมือไม่ธรรมดาแล้ว น่าเชื่อว่า คนที่สั่งการหรือจ้างวานย่อมไม่ธรรมดายิ่งกว่า และครั้งนี้อาจใช้ท่อนเหล็กทำร้าย เพื่อเจตนาข่มขู่ให้กลัว แต่ต่อไปอาจใช้วิธีอื่นถึงขั้นเอาชีวิตก็เป็นได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี และสาวไปให้ถึงคนบงการให้ได้
ขณะเดียวกัน ในส่วนของรัฐบาลแม้ว่านาทีนี้อาจยังไม่มีเหตุจูงใจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในฐานะผู้กำกับด้านนโยบายในทางสาธารณะ จะต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก หรือต้องไม่ให้มีบรรยากาศในลักษณะการคุกคามสื่อ เหมือนกับในยุคก่อนๆ
เพราะแม้ว่าระดับผู้นำรัฐบาลอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งคนอย่าง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสื่อโดยตรงสังคมจะเชื่อว่าน่าจะมีความคิดเปิดกว้าง ยอมรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ากระทบความรู้สึกคนไม่น้อย
เพราะนี่คือการคุกคามสื่อ และการคุกคามสื่อก็ย่อมหมายถึงการคุกคามประชาชนนั่นเอง!!