“ผู้นำ”
คำๆ นี้ ทุกคนล้วนต้องการจะไปให้ถึง และได้รับการยอมรับแบบปราศจากข้อสงสัย
เพราะการเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในองค์กร-ถือดาบอาญาสิทธิ์ที่ให้คุณให้โทษกับผู้อยู่ใต้อาณัติ ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้นำอย่างแท้จริง หากเขามิอาจสามารถพิสูจน์องค์ประกอบของคำว่าผู้นำให้บุคคลภายนอกได้แลเห็น
ไม่ว่าจะเป็นความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ,การเสียสละและเห็นการส่วนรวมมากกว่าอำนาจในกำมือ,กล้าเผชิญกับแรงต่อต้านที่จะตามมาหากการตัดสินใจนั้นทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์
อีกทั้งต้องมี “กุศโลบาย”ในการ “มัดใจ-ซื้อใจ”ผู้ร่วมงานให้พร้อมทุ่มทุกสิ่งที่ผู้นำต้องการได้
วันนี้หลายคนให้คะแนนไปแบบเต็มๆ กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เขาพิสูจน์ภาวะผู้นำให้หลายคนในพรรคประชาธิปัตย์-พรรคร่วมรัฐบาลและประชาชนได้แลเห็นแล้ว
ถึงการเป็นผู้นำรัฐบาล ที่พร้อมจะจัดการกับสิ่งที่สังคมเคลือบแคลงสงสัย ต่อตัวรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขา ว่าใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ บริหารงานในความรับผิดชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน แบบไม่เห็นแก่หน้าใคร และไม่จำเป็นต้องรอ
“ใบเสร็จ”
ซึ่งในทางการเมืองยุคนี้ ย่อมมิใช่ใบเสร็จรับเงิน หลักฐานการโอนเงิน แต่หมายถึงผลการสอบสวนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นหน่วยราชการและการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ที่รู้กันดีว่า ใช้เวลานานกว่าจะได้ข้อสรุปอีกทั้งสามารถเข้าแทรกแซงทางการเมือง ให้ผลการสอบสวนเป็นคุณกับผู้มีอำนาจได้
เรื่องนี้อภิสิทธิ์ก็ย่อมรู้ดี ดังนั้นหากปล่อยไว้ให้เดินไปตามเส้นทางเดิมๆ ด้วยการรอผลการสอบสวนอย่างที่วิฑูรย์ นามบุตร อดีตรมว.การพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแจกถุงยังชีพแก่ประชาชน จ.พัทลุง พบว่ามีปลากระป๋องเน่าบรรจุอยู่ด้วย พยายามกล่าวถ่วงเวลาและอ้างไว้ในตอนแรกที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ถึง 7 ชุด
ก็คงทำให้กลิ่นเน่าเหม็นของปลากระป๋อง ลุกลามมาถึงทำเนียบรัฐบาล และที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน
“ใบเสร็จ”จึงมิอาจสำคัญกว่า “บรรทัดฐานการเมือง-ความชอบธรรมในการบริหารประเทศ”
อันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ากฎหมาย เพราะการทุจริตการกระทำผิดย่อมมีการตระเตรียมล่วงหน้าในการหาช่องทางหลบหนีไม่ให้ถูกกฎหมายเล่นงานเอาผิดได้ แต่หากสังคมและประชาชน เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และเห็นถึงความผิดปกตินั้นได้ สำคัญยิ่งที่ผู้นำรัฐบาลต้อง
“เงี่ยหูฟังเสียงประชาชน และแยกเสียงกฎหมายกับความถูกต้องชอบธรรมให้ออกจากกันให้ได้”
มาวันนี้ อภิสิทธิ์ได้สร้างบรรทัดฐานการเมืองใหม่ ในวังวนการเมืองเก่าไว้อีกครั้ง!
หลังจากก่อนหน้านี้การจัดตั้งครม.ของเขาทำให้ประชาชนทั้งประเทศผิดหวังจนเกิดเสียง”ยี้”ไปทั่วทุกหนแห่ง ทั้งจากนักธุรกิจ นักการเงินการธนาคาร นักอุตสาหกรรม
รวมถึงกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของมาร์ค เพราะเป็นการตั้งครม.บนผลประโยชน์ตอบแทนอย่างเห็นได้ชัด มีการแจกเก้าอี้ให้กับกลุ่มทุนผู้บริจาคเงินให้กับพรรคในการเลือกตั้ง แจกเก้าอี้ให้กับทหารผู้มีส่วนสำคัญในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล และกลุ่มก๊วนการเมืองและโควตาภาคทั้งในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล
โดยรัฐมนตรีหลายคนไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอต่อตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ยิ่งกับครม.เศรษฐกิจด้วยแล้ว เป็นการตั้งครม.ที่น่าผิดหวังยิ่ง
จนทำให้ก้าวแรกของรัฐบาลอภิสิทธิ์ติดลบ ตั้งแต่ยังไม่ออกสตาร์ท และอภิสิทธิ์ก็ถูกปรามาสว่าเป็น
“หุ่นเชิด”
ให้กับสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล อันเป็นคำปรามาสที่ติดตัวอภิสิทธิ์มาตลอด ตั้งแต่เขาจับมือร่วมกับสุเทพในการชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
มาครั้งนี้ แม้อภิสิทธิ์จะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อว่าเขาไม่ถูกสุเทพ เชิดทางการเมืองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การที่วิฑูรย์ มือขวาของสุเทพที่เป็นกำลังหลักในภาคอีสานต้องพ้นจากรัฐบาล หลังจากสุเทพพยายามปกป้องช่วยเหลือวิฑูรย์มาตลอดถึงขั้นเคยบอกไม่สมควรปรับครม.ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนที่วิฑูรย์จะลาออกหนึ่งวัน
จึงในวันนี้ อภิสิทธิ์แสดงความเป็นตัวของตัวเองให้สังคมเห็นแล้วว่า อนาคตบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเขา ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงสุเทพทุกเรื่องอย่างที่สังคมภายนอกคิด
นอกจากนี้ ต้องชื่นชมพรรคประชาธิปัตย์ที่แกนนำพรรคและส.ส.ส่วนใหญ่ในพรรคสนับสนุนให้เกิดบรรทัดฐานการเมืองใหม่นี้ เป็นครั้งที่สองหลังจากก่อนหน้านี้เกิดขึ้นกับกรณีของอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.ที่แม้จะได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงเป็นล้านคะแนนก็ยังไม่สำคัญเท่า
“การเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐที่ต้องไม่มัวหมอง และถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย”
บรรทัดฐานการเมืองใหม่บนการเมืองเก่าที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้กับกรณีของอภิรักษ์-วิฑูรย์ จึงเป็นสิ่งที่จะทำให้พรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล จะต้องยึดถือปฏิบัติไว้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม น่าจับตามองว่าหลังจากนี้จะมีปัญหา “คลื่นใต้น้ำ” ในพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นหรือไม่?
หลังเห็นสัญญาณความขัดแย้งภายในพรรคอย่างชัดเจนกับกรณีของบัญญัติ บรรทัดฐาน กับสุเทพ เทือกสุบรรณ สองเสือสุราษฏร์ธานี ที่ห้ำหั่นกันทั้งภายในพรรคและที่สุราษฏร์ธานีมานับสิบปี
มาครั้งนี้ เมื่อบัญญัติ เปิดตัวออกมาไล่บี้ให้วิฑูรย์ พิจารณาตัวเองแบบไม่ไว้หน้าลูกพี่ใหญ่สุเทพ และต้องให้วิฑูรย์กลืนเลือดออกจากรัฐบาลไปอย่างชอกช้ำ มีหรือที่สุเทพและวิฑูรย์จะไม่ขอเอาคืนเมื่อมีโอกาส!
เพียงแต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบแตกหัก เพราะกลุ่มอีสานในประชาธิปัตย์ ก็ไม่เป็นเอกภาพ ทำให้วิฑูรย์เองก็ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆได้มากนัก
เพียงแต่ยามนี้ เมื่อวิฑูรย์ต้องกลับไปเลียแผลตัวเอง มันอาจทำให้เขาต้องคิดทบทวน ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับอภิสิทธิ์ไม่มากก็น้อย เพราะแม้ทั้งสองคนไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่ก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และได้ร่วมสร้างตำนานโรแมนติกบนเวทีการเมืองมาด้วยกัน
ต้องไม่ลืมว่า “ตำนานแหวนทองเหลืองยายเนียม” ได้เกิด ณ อุบลราชธานี ในพื้นที่อิทธิพลของวิฑูรย์
ถ้าหากวิฑูรย์ เกิดน้อยใจอภิสิทธิ์ขึ้นมา แถมพี่เทือกก็ลอยแพ วิฑูรย์อาจไม่ย้ายพรรค แต่ก็อาจไม่ทุ่มเทเต็มร้อยเหมือนเดิม ใครล่ะเสียหาย ถ้าไม่ใช่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ !
ขณะที่กรณี บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ที่มีปัญหาเรื่องข้อกล่าวหากระทำการผิดรัฐธรรมนูญกรณีแนบนามบัตรให้ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งไปพร้อมกับเงินช่วยเหลือ และผ้าห่มในการเดินทางไปตรวจราชการใน จ.นครราชสีมา
จะพบว่า แม้บุญจง จะยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป และท่าทีของอภิสิทธิ์อาจจะถูกแปลความได้ว่า”อุ้ม-ปกป้อง”ทว่าการที่วิฑูรย์ลาออก ประชาธิปัตย์ได้ใจประชาชนในการสร้างบรรทัดฐานการเมืองใหม่
แต่ภูมิใจไทย พรรคการเมืองน้องใหม่ที่หลายคนคาดว่า จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แค่เริ่มขยับก็ติดลบ
เพราะแกนนำพรรคอย่างบุญจง ที่แม้จะขอให้ป.ป.ช.-กกต.ที่เป็นองค์กรอิสระสอบสวนให้เสร็จก่อน แต่สังคมก็ต้องเปรียบเทียบกับกรณีของวิฑูรย์ไปพร้อมๆ กัน แม้ข้อเท็จจริงจะแตกต่างกัน แต่กระแสทางการเมืองมันไปไกลเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้งความคิดของผู้คนได้
เมื่อวิฑูรย์ออก บุญจงอยู่
ประชาธิปัตย์ได้ ภูมิใจไทยเสีย
วันนี้ภูมิใจไทย จึงออกสตาร์ทแบบไม่ได้ใจประชาชน และกลายเป็นชนักติดหลังทางการเมืองที่ทำให้อำนาจการต่อรองของภูมิใจไทยในรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ทรงพลังเหมือนเดิม เพราะภาพวันนี้ของบุญจง-ภูมิใจไทย มี
“สีเทา”
เกิดขึ้นแล้วทางการเมือง ทำให้การขยับแต่ละครั้งของภูมิใจไทยโดยเฉพาะการต่อรองเรื่องงบประมาณ โครงการต่างๆ ที่ภูมิใจไทยรอลุ้นอยู่จำนวนมาก หากพลาดนิดเดียว เชื่อได้ว่าอภิสิทธิ์จะจัดการกับ”เสือโหย”ไม่ให้เดินเพ่นพ่านในรัฐบาลแน่นอน
การติดลมบนของอภิสิทธิ์ต่อจากนี้ เราเห็นว่าอภิสิทธิ์กำลังเดินไปในทางที่ถูกต้องแล้ว และเขาควรใช้เวลาทุกอย่างในตอนนี้ มุ่งหน้าไปในทางเดียวเท่านั้นคือ
“ฉุดประเทศพ้นจากหายนะวิกฤติเศรษฐกิจ”
และควรขยับตัวออกมาให้ห่างจากสมรภูมิการเมืองให้มากที่สุด โดยควรปล่อยให้เรื่องการเมืองเป็นหน้าที่ของส.ส.ในพรรค หรือรัฐมนตรีในพรรคที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ รับผิดชอบไป จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาไปกับการคิดเรื่องการเมืองมากเกินควร ซึ่งสัญญาณที่ดีในเรื่องนี้ก็พอจะได้เห็นแล้ว เมื่อมีการตั้งเทพไท เสนพงศ์มาเป็นโฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี
ยิ่งเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณเลวร้ายลงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการปิดโรงงาน บริษัทเอกชน ไม่เว้นแม้แต่ละวัน
อภิสิทธิ์จึงต้องเร่งติดเครื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้หนักขึ้นกว่าเดิม อีกหลายเท่า เพราะแผนงานที่รัฐบาลวางไว้หลายเรื่องในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเริ่มเห็นแล้วว่า อาจใช้ไม่ได้ผล อาทิ
การตั้งเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ 5 เปอร์เซ็นต์จะเป็นไปได้อย่างไร?ในเมื่อข่าวออกมาตลอดว่าหลายประเทศที่เป็นลูกค้าหลักของไทยเช่นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกามีแต่ข่าวเศรษฐกิจล่มสลาย สภาวะการเลิกจ้างสูงลิ่ว แล้วจะมีกำลังซื้อได้อย่างไร?
ขณะเดียวกันภารกิจสร้างความเชื่อมั่นในต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุนชาวต่างชาติ อภิสิทธิ์ก็ต้องเร่งกระทำการโดยทุกวิถีทาง เพราะเงินตราจากต่างชาติที่เข้ามาใช้จ่ายในประเทศเท่านั้น ที่จะเป็นทางรอดของประเทศเพียงทางเดียวในขณะที่หวังรายได้จากการส่งออกไม่ได้แล้ว
ภารกิจอันแรกที่ต้องทำให้ได้ต่อจากนี้ ก็คือการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียนซัมมิตในปลายเดือนนี้ที่หัวหินให้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
หากทำสำเร็จ จะเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยในเวทีโลกทันที
หากอภิสิทธิ์ทำสำเร็จแบบนี้ก็ติดลมบน อะไรมารั้งก็ไม่อยู่เสียแล้ว หากไม่สะดุดขาตัวเอง หรือเหลิงในอำนาจเสียก่อน