“กลาโหม” ชี้ “นช.แม้ว” โฟนอินพร้อมนั่งนายกฯ ไร้ราคา แค่ตีปี๊บเรียกแรงศรัทธาจาก “กลุ่มหนุน”-ไม่อยากให้ “รัฐบาล” ทำสำเร็จตามเป้าหมาย มั่นใจ “ทหาร” มีมาตรการรักษาความปลอดภัย พร้อมรับมือ “กุล่มเสื้อแดง” ชุมนุมป่วน 14 ก.พ.นี้ ด้าน “กองทัพ” ปิ๊งไอเดียประสาน “พุทธศาสนาแห่งชาติ” ใช้ธรรมะกอบกู้ “ความสามัคคี” ในชาติ
วานนี้ (3 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า พ.อ.จิตติสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินเข้ามาปลุกเร้า ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าพร้อมที่จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหนึ่งว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเหมือนเดิม และไม่น่าจะมีเงื่อนไขใด แต่ต้องการให้เกิดความมั่นใจแก่กลุ่มที่ให้การสนับสนุน ซึ่งคงเกิดขึ้นเฉพาะช่วงนี้ และจะไม่ยาวนานนัก เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเป็นช่วงที่รัฐบาลเพิ่งออกนโยบาย แต่ยังไม่สามารถทำให้เห็นผล ซึ่งเขาคงไม่อยากให้รัฐบาลทำสำเร็จตามเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากทำสำเร็จก็จะสามารถเรียกแรงศรัทธาจากกลุ่มผู้สนับสนุนได้
“กองทัพไม่ลำบากใจในการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภาพรวมคงไม่ส่งผลกระทบใด เพราะเราทำตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้กฎหมายดีว่าควรทำอะไร นอกจากนี้ หน่วยงานด้านความมั่นคงต้องไปทบทวนดูการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งที่ผ่านมาก็เรียบร้อยดีไม่มีอะไร” พ.อ.จิตติสักก์ กล่าว
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงอีกครั้ง ในวันที่ 14 ก.พ.นี้นั้น พ.อ.จิตติสักก์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ก็คงจะปฏิบัติเช่นเดิม คือ อยู่ในกรอบกฎหมาย หากผู้ชุมนุมปฏิบัติเหมือนวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็คงไม่มีอะไร เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรียบร้อยดี อีกทั้งเจ้าหน้าที่มีมาตรการดูแลความเรียบร้อยอยู่แล้ว สำหรับข้อเสนอที่กลุ่มเสื้อแดงเสนอให้รัฐบาลปฏิบัติตามนั้น หากเงื่อนไขพอทำได้ก็จะทำ แต่หากเงื่อนไขใดทำไม่ได้ ก็คงไม่ทำ
พ.อ.จิตติสักก์ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 4 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ โดยจะมีการบรรยายการทำงานของกระทรวงกลาโหมให้นายสุเทพ รับทราบ ทั้งนี้ ปกติไม่ค่อยมีรองนายกฯ ด้านความมั่นคงมาตรวจเยี่ยมกระทรวง แต่คงเป็นการมาสร้างความคุ้นเคย คงไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ซึ่งถือเป็นการตรวจเยี่ยมตามปกติตามสายงานที่นายสุเทพ ดูแลอยู่
ด้าน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ประจำเดือน ก.พ.ว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการทำงานของกองทัพบกที่ผ่านมาว่า ทุกหน่วยงานพยายามทำหน้าที่ของตนเอง เพื่อให้กองทัพบกพัฒนา และสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาให้กับชาติบ้านเมือง ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ได้กำชับให้ผู้บังคับหน่วยกำกับดูแล ติดตามการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง นอกจากการเพิ่มกำลังรบโดยตรงด้วยการฝึกของหน่วยทหารแล้ว จำเป็นต้องจัดให้มีการฝึกเพิ่มทักษะเป็นการเฉพาะภายในหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความชำนาญ และความพร้อมที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหน่วยทหาร ทั้งด้านกายภาพ และสภาพจิตใจ ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
สำหรับนโยบายการสร้างความรักความสามัคคีแก่คนในชาตินั้น พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า กองทัพบกได้ประสานกับพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเสนอขอรับความอนุเคราะห์ให้มหาเถรสมาคมกำหนดเป็นมติไปยังวัด สำนักสงฆ์ และพระสงฆ์ทั่วประเทศ ให้สอดแทรกคุณธรรมเรื่องความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเทศน์การสอนในวันสำคัญทางศาสนาตามโอกาสต่างๆ ขณะเดียวกันหน่วยทหารทั่วประเทศ จะให้การสนับสนุนการดำเนินการของพระสงฆ์ในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ รวมถึงการให้วิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เผยแพร่กิจกรรมการบรรยายของคณะสงฆ์อย่างทั่วถึงด้วย
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ ยังกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลยุบสภานั้น ในที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ มีเพียงการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) ว่า ห้วงเวลาที่ผ่านมา กองทัพบกได้ส่งกำลังทหารไปสนับสนุนภารกิจใดบ้าง ซึ่ง ผบ.ทบ.ไม่ได้พูดถึงเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และเรื่องการเมืองใดๆ
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์อุบัติเหตุจากการซ้อมรบยิงจรวดพลาดเป้า จนทำให้กำลังพลบาดเจ็บ 19 นาย ที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมี พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) เป็นประธานคณะทำงานสอบสวน พล.ต.พิทยา สว่างวงศ์ ผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก (ผบ.ศบบ.) เป็นรองประธาน โดยมีผู้แทนจากกรมสรรพาวุธ กรมยุทธการ กรมการสื่อสารทหารบก เป็นคณะทำงานตรวจสอบหาข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และคาดว่าหลังจากคณะทำงานได้รับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. จะรายงานผลการสอบสวนกลับมาภายใน 15 วัน