นายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงสวิตเซอร์แลนด์ แล้ว เรียกทูตภาคพื้นยุโรปถกปัญหา เร่งแจงความเข้าใจนานาประเทศ เน้นฟื้นนโยบายเศรษฐกิจสร้างความเชื่อมั่น จี้ เฝ้าระวังการกีดกันทางการค้า หวั่นช่องโหว่กฎหมาย แจงเร่งเคลียร์ปัญหาโรฮิงยาให้จบ
วันนี้ (30 ม.ค.) เมื่อเวลา 06.45 น.ตามเวลาท้องถิ่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนครซูริค สมาพันธรัฐสวิส และเดินทางต่อไปยังโรงแรม Radisson นครซูริค เพื่อเป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตประจำภาคพื้นยุโรป ณ ห้อง Grand Meeting Room เพื่อมอบนโยบายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมือง กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และให้ไทยมีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง
โดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารงาน โดยได้รับคะแนนสูงสุดจากรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ รัฐบาลยังประสบความสำเร็จในการให้รัฐสภาผ่านข้อตกลงสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน จำนวน 39 ฉบับ สำหรับ 2 ฉบับที่เหลือได้ให้คณะกรรมาธิการพิจารณาต่อไป คาดว่าจะสำเร็จในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ รัฐสภายังได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ซึ่งจะทำให้ฝ่ายบริหารสามารถเบิกจ่ายตามวงเงินงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที ทั้งนี้ นับว่า เป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของคนไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม โดยผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนได้ตอบตกลงที่จะเข้าร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา จำเป็นต้องจัดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งผู้นำประเทศคู่เจรจาบางประเทศ ก็ยินดีที่จะเดินทางมาร่วมประชุมในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า นานาชาติให้ความเชื่อมั่นการบริหารงานของไทย
สำหรับการปฏิรูปการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะให้มีการปฏิรูปทางการเมือง โดยได้มีการพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้าน แต่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านก่อน เพื่อที่ประสานงานกันต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจนั้น วิกฤตเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบ และสร้างความยากลำบากต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงได้มีมาตรการจัดสรรเงินให้เปล่าจำนวน 2,000 บาท แก่ผู้มีรายได้เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ แรงงาน นักเรียนและผู้ปกครอง คาดว่า จะให้ผลทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ในไตรมาสที่ 4 จะได้มีการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน รวมทั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน เพื่อกำหนดมาตรการในส่งเสริมเศรษฐกิจระยะยาวต่อไป โดยจะให้มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสมบนพื้นฐานวินัยทางการคลัง
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกร้องให้เอกอัครราชทูตทำประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ ถึงสถานการณ์การเมือง และการดำเนินงานของรัฐบาล เฝ้าระวังอย่าให้เกิดการกีดกันทางการค้า โดยอาศัยช่องโหว่งของกฏหมาย พร้อมทั้งจัดทำประชาสัมพันธ์ ชี้แจ้งข้อเท็จจริงในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในกรณีโรฮิงยา ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินตามกฎหมายทุกประการ แต่ก็อาจยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีที่จะร่วมมือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ รวมทั้ง UNHCR เพื่อหาทางออกที่ดีทีสุด สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว สำหรับสถานการณ์ภาคใต้นั้น รัฐบาลไม่ได้วัดความถี่ของการเกิดเหตุ แต่จะสร้างความเข้าใจ ความสามัคคี และมีแนวคิดที่จะยกเลิกกฎหมายพิเศษบางฉบับที่ไม่จำเป็น รวมทั้งเร่งรัดเรื่องร้องเรียนต่างๆ ให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวด้วยความเชื่อมั่น ว่า การทำงานแบบบูรณาการของเอกอัครราชทูต ทั้งการเผยแพร่ข้อมูล สร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวและดึงดูดนักลงทุน เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในกลางปีหน้าได้อย่างแน่นอน
ต่อมาเวลา 12.10 น.เวลาท้องถิ่น วันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมและกล่าวเปิดการเสวนาระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน (Interaction Over Lunch Session) ในหัวข้อ “Growth via Travel and Tourism” ณ โรงแรม Waldhuss, Sertig และเวลา 14.30 น.เข้าร่วมการประชุม Informal Gathering of World Economy Leaders (IGWEL) หัวข้อ “Reviving Global Economic Growth” ณ Congress Center Sertig ณ เมืองดาวอส