“มาร์ค” กล่าวบนเวทีปาฐกถา ซึ่งจัดโดย กกร. เตรียมนำเรื่องงบประมาณกลางปีในแผนฟื้นฟูศก. เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เชื่อผลงานเกือบ 1 เดือน แก้ปัญหาได้ตรงจุด รับไตรมาส 1-2 ปีนี้ ยังเรียกกำลังซื้อต่างชาติไม่ได้ แต่อัดแผนกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ลดความเสี่ยงคนตกงานไว้แล้ว ด้านภาคเอกชนรับไตรมาส 2-3 ศก.ยังไม่ฟื้นตัว เผยขณะนี้ยังยากที่จะประเมินตัวเลขจีดีพีปีนี้
วันนี้ (27 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เชื่อมั่น เชื่อมือ เชื่อถือ ไทยแลนด์” ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า รัฐบาลจะดำเนินการสรุปกรอบหนังสือที่จะใช้ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 1 มีนาคม ให้แล้วเสร็จภายในคืนนี้ และวันพรุ่งนี้ (28 ม.ค.) จะนำเรื่องงบประมาณกลางปีที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยเชื่อว่า ตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศไม่ถึง 1 เดือนนั้น สามารถวางแผนแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เตรียมแผนกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อเป็นแผนสำรองหากเกิดปัญหาวิกฤตการณ์การเงิน ซึ่งต้องยอมรับว่า ในช่วงไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ของปีนี้ รัฐบาลจะยังไม่สามารถเรียกกำลังซื้อจากต่างประเทศได้ เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อสู้กับทรัพยากรแบบไม่มีขีดจำกัด แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลงได้ไม่ช้า เพราะปัจจุบันรัฐบาลพยายามเร่งกระตุ้นกำลังการซื้อ-ขาย ในประเทศ พร้อมกับลดความเสี่ยงในการยกเลิกจ้างแรงงาน
สำหรับปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ มีอยู่ 3 ส่วน โดยปัญหาทุกอย่างเกิดจากการได้รับผลกระทบจากการเกิดวิกฤตการณ์การเงินจากต่างประเทศ รวมไปถึงวิกฤตการณ์การเมืองไทย ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสะสมจากการเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ อาทิ ขาดแรงงานที่มีทักษะและฝีมือ ซึ่งทางรัฐบาลได้เร่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการเตรียมแผนฝึกอบรมให้แก่แรงงาน
ด้าน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดงาน “เชื่อมั่น เชื่อมือ เชื่อถือ ไทยแลนด์” ครั้งนี้ มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แสดงปาฐกถาให้กับนักธุรกิจไทย และนักธุรกิจต่างชาติ ที่ทำธุรกิจในไทยได้รับฟัง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีการชี้แจงถึงมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ว่าเป็นอย่างไร โดยจะช่วยในด้านการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่า จะยังไม่ฟื้นตัวก่อนไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรภาคเอกชนยังมีความหวัง ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไม่ให้ย่ำแย่ลงไปกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังกล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังยากที่จะประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยต้องรอเวลาอีก 3 เดือน ในการติดตามผลการดำเนินมาตรการของรัฐ ซึ่งจะสามารถประเมินตัวเลขจีดีพีของปีนี้ได้