“สุริยะใส”ชำแหละโฟนอิน“แม้ว” ตัดตอนความจริง เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น เชื่อปลุกคนได้น้อย ขณะพื้นที่เคลื่อนไหวนอกประเทศเหลือแค่อินโดฯ บรูไน กัมพูชา คาดนักโทษหนีคดีปลุกสั่งมวลชนใช้ความรุนแรงมากขึ้น หลังแพ้เกมในสภา ติง“มาร์ค”เฉยเมย ปล่อยแก๊งเสื้อแดงถ่อยได้ใจ ปัญหาบานปลายแน่ พร้อมชี้ข่าว“แม้ว”หมดเงิน แค่เกมลับลวงพราง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ เอเอสทีวี ในช่วงสรุปข่าวในรอบวัน 23.00 น. ที่ผ่านมา กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี ได้โทรศัพท์เข้าไปในรายการ “ความจริงวันนี้” ภาคพิเศษ ทางโทรทัศน์ ดีสเตชั่น ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ผลสะเทือนทางการเมืองจากการโฟนอินครั้งนี้ คงจะลดน้อยลง เพราะประเด็นไม่ใหม่ พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า ขณะที่บรรยากาศของสังคมกำลังต้องการเดินไปข้างหน้า ลืมความเลวร้ายในอดีต แต่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณทำให้คนที่เคยเห็นใจเริ่มตั้งคำถาม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับอีกฝ่ายหนึ่งแต่ตัวเองกลับหลบหนี คดีที่เกิดกับคนของเขาเองทั้งเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไปถึงไหน พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยถาม เป็นการพูดมุมเดียว และพูดตัดตอนความจริง เขามานับ 1 เอาวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทั้งที่ความจริง 19 ก.ย.เป็นแค่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุคือระบอบทักษิณที่พยายามควบคุมอำนาจ กดหัวทุกฝ่ายให้ขึ้นต่อตัวเอง ซึ่งก็เป็นธรรมชาติ คนที่ถูกกดก็ต้องลุกขึ้นสู้ ตั้งแต่ก่อนมีพันธมิตรฯ ด้วยซ้ำ แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่รับความจริงว่าเป็นต้นเหตุของการรัฐประหารและวิกฤติของบ้านเมืองในขณะนี้ เอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น ซึ่งยิ่งพูดไปยิ่งเห็นธาตุแท้
อย่างไรก็ตาม นายสุริยะใส กล่าวว่า ไม่อยากให้มองข้ามมวลชนที่ฟังข้อมูลข้างเดียว อาจจะถูกปั่นหัวให้สร้างความวุ่นวายได้ ซึ่งอาจใช้เพียง 200-300 คน เช่นที่เชียงใหม่ และร้อยเอ็ด ที่น่ากลัวคือปฏิบัติการจากนี้ไป ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้ม็อบ ซึ่งเป็นม็อบจริงๆ คือ ไร้ระเบียบ ใช้ความรุนแรง ก่อจลาจลย่อยๆ ในทุกพื้นที่ที่รัฐมนตรีลงไป เช่นเดียวกับกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ไปเชียงใหม่ หรือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปหาเสียงที่นนทบุรี เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้มองว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิที่จะทำได้ เพราะสิทธิต้องควบคู่กับความรับผิดชอบและความชอบธรรมด้วย ไม่ใช่อ้างสิทธิ เช่นไปตบหน้าอาจารย์ที่เชียงใหม่ และอยากถามอาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนซึ่งส่วนใหญ่สอนที่เชียงใหม่ ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณอาจไม่มีพลังพอที่จะเคลื่อนไหวด้วยคนจำนวนมากซึ่งทำได้ยาก แต่เขาจะเน้นคนน้อยแต่ใช้ความรุนแรงมากขึ้น เรื่องนี้นายกฯ ต้องทบทวน รัฐมนตรีที่ดูแลฝ่ายปกครองต้องทบทวนวิธีการ เพราะหากเอาแต่ตั้งรับ จะเท่ากับทำให้ไฟลุกลาม ปล่อยให้ก่อกวนไปเรื่อยๆ จะฮึกเหิม ได้ใจ ท้าทายกฎหมายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทำผิดแล้ว เช่น ปาไข่ ตบหน้า ปาอิฐ ต้องออกมายจับ และจะเห็นว่าวันที่เขาปาอิฐหน้าสภานั้นมีเป็น 10 คน แต่จับได้คนเดียว ทั้งที่มีภาพถ่ายเยอะแยะไปหมด ขณะที่นายสุเทพก็เห็นกับตาว่าตำรวจที่เชียงใหม่สนิทสนมกับพวกเสื้อแดงเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นต้องดูว่าจะนำไปสู่การปรับรื้อรัฐตำรวจหรือไม่ ถ้ายังทำหูทวนลม ทำตัวเป็นพระกันอยู่แบบนี้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“เลิกพูดเสียทีว่าเขามีสิทธิที่จะปาได้ ถ้าพันธมิตรฯ ปาบ้าง มันก็ไม่ถูก เพราะฉะนั้นผมคิดว่ารัฐบาลต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ บริหารอำนาจให้เป็น โดยเฉพาะท่านนายกฯ ผมเห็นว่าหลายครั้งท่านเฉยเมยไปกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผมเรียนว่า มันได้ใจ เห็นไหมฮะ การก่อการแบบนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสังเกต เพราะเขาได้ใจ แล้วก็เห็นว่ากฎหมายอ่อนแอ ไม่สามารถจัดการเขาได้ นี้เป็นสถานการณ์ที่คิดว่าน่าเป็นห่วง”
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า ส่วนเกมในสภานั้น พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่เล่น เพราะนับมือทีไรก็ต้องแพ้ จังต้องหันมาใช้เกมมวลชน อดีต ส.ส.ที่ว่างงานอยู่ ที่หาโอกาส หาช่องทางหาประโยชน์ยากขึ้น ก็ออกมาเคลื่อนไหวงานมวลชนเพื่อวางบิลกับนายใหญ่ อย่างเช่น นายนิสิต สินธุไพร ที่ถูกตัดสิทธิไปแล้ว ก็มาเคลื่อนไหวที่ร้อยเอ็ด ซึ่งในแง่กฎหมายไม่รู้ว่าทำได้หรือเปลบ่า
สำหรับการเคลื่อนไหว ของ พ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น นายสุริยะใสกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพของกระทรวงการต่างประเทศภายใต้รัฐมนตรีที่เราไว้วางใจที่สุดในทศวรรษ ว่าจะเท่าทันและเข้าถึงเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ โดยเฉพาะการใช้โลกล้อมประเทศ แต่เงื่อนไขเชิงบวก ก็คือการเคลื่อนไหวในต่างประเทศนั้น กระทรวงการต่างประเทศต้องเป็นใจ แต่ว่ากระทรวงต่างประเทศขณะนี้อยู่ในขั้วการเมืองที่ไม่ใช่ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว และเท่าที่ทราบพื้นที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณลดลงมาก ว่ากันว่าที่ฮ่องกงก็ทำไม่ได้แล้ว ที่จีนก็ไม่อนุญาตแล้ว ดูไบก็เริ่มเห็นอันตรายที่เกิดจากการให้พื้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคลื่อนไหว นักวิเคราะห์ด้านการเมืองระหว่างประเทศบอกว่า มี 3 พื้นที่เท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้อยู่ คือ ที่บาหลี อินโดนีเซีย ที่บรูไน และที่เขมร
ทั้งนี้ หลักๆ พ.ต.ท.ทักษิณจะเคลื่อนไหวอยู่ที่กัมพูชา โดยเฉพาะที่เกาะกง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกทันทีนายกษิต ภิรมย์ ได้เป็น รมว.การต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ได้เรียกร้องให้นายกษิตทวงคืนปราสาทพระวิหาร นอกจากจะเป็นการไม่อายแล้ว ยังสวนทางกับเมื่อก่อนที่เขาบอกว่าประสาทพระวิหารเป็นของเขมรอยู่แล้วไม่ใช่ของไทย อยู่ๆ ทำไมจะให้ไปทวงคือ ซึ่งนัยของกรณีนี้ก็คือเขาต้องการเสี้ยมรัฐบาลไทยให้ทะเลาะกับกัมพูชา เพื่อให้ พ.ต.
ท.ทักษิณปั่นหัวนายฮุนเซนได้ง่ายขึ้น ให้ฮุนเซนเปิดศึกกับรัฐบาลนี้ กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศจนทำให้รัฐบาลนี้เติบโตไม่ได้ในทางสากล โดยภาพของนายกฯ ที่ชื่ออภิสิทธิ์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่า ถ้าเปิดพื้นที่ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัวในเวทีสากล พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ลำบาก เพราะภาพของนายกอภิสิทธิ์ได้รับการยอมรับจากสากลค่อนข้างมากกว่าทักษิณ เพราะสะสมมานาน
“นี่เป็นเงื่อนไขที่มีทั้งข้ออ่อนและข้อแข็ง ขึ้นอยู่ที่ว่า เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือแล้วเล่นเป็นหรือเปล่า ถ้าเล่นไม่เป็นก็ช่วยไม่ได้แล้ว”นายสุริยะใสกล่าว
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่ละครั้งมีทั้งขอความเป็นธรรมให้ตัวเองและให้ร้ายคนอื่น เพื่อที่จะบอกว่าตัวเองเป็นพระเอกและถูกรังแก และคำบางคำก็หมื่นเหม่ เช่นที่บอกว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลสมเสร็จ ซึ่งโดยความหมายมันมีนัย และการพูดแบบนี้มีการเตรียมการ ไม่ใช่พูดสดๆ แล้วก็สอดรับกับที่กลุ่มเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวตลอดว่า ข้างหลังรัฐบาลนี้ คือศาล สถาบัน ทหาร และพยายามไปร้องต่อสถานทูตต่างๆ ว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาโดยไม่ถูกครรลองของรัฐธรรมนูญ
ส่วนเรื่องเงินที่บอกว่า จะไปขอเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเงินหมดแล้วนั้น นายสุริยะใสกล่าวว่า เป็นแค่ลับลวงพราง เพราะจริงๆ แล้วเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางหมด เพราะมีมหาศาล ที่บอกว่าเงินหมดแล้ว คงไม่สามารถช่วยพรรคเพื่อไทย หรือ ส.ส.ในสังกัดได้แล้วนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าการเคลื่อนไหวใดๆ ของ ส.ส.ในสังกัดของทักษิณหรือกลุ่มคนเสื้อแดงไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
“ผมรู้ดีว่ากลุ่มสามเกลอ ถ้าไปขอเงินจากองค์กรต่างประเทศ เขาจะไม่ให้ ผมทำงานเอ็นจีโอมา 10 กว่าปี ผมรู้ เท่าที่ทราบหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. แกนนำ นปก.คนหนึ่งเขียนโครงการไปขอเงินจากเอ็นจีโอระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในไทย ผู้บริหารเขารู้จักกับผม ขาบอกว่าจะให้ได้ยังไง เพราะคุณเป็นสมุนทักษิณ คุณเกี่ยวพันกับพรรคการเมือง ถ้าให้ พรรคคุณก็จะถูกยุบ และองค์กรของผมก็ถูกยุบด้วย เพราะฉะนั้นให้ไม่ได้”
นอกจากนี้ ที่สำคัญองค์กรที่จะสนับสนุนในเรื่องนี้ ในไทยมีลดลง เพราะเขาเห็นว่าคนไทยตื่นตัวมากแล้ว เศรษฐกิจก็ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน องค์กรเหล่านั้นจึงย้ายฐานการสนับสนุนไปยังประเทศลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน แทน ดังนั้นการบอกว่าเงินหมดจึงเป็นเพียงกลอุบายที่จะบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ให้ท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดง ซึ่งที่จริงยังเป็นอยู่ เพราะเงินยังมีเหลือ