xs
xsm
sm
md
lg

“กษิต” ย้ำไม่สลัดภาพพันธมิตรฯ - หยัน “เสื้อแดง” เสียงนกเสียงกา-รับเงินสกปรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“กษิต” มั่นใจสานสัมพันธ์กัมพูชาไร้ปัญหา เหตุไร้ประโยชน์ทับซ้อนเหมือนรัฐบาลชุดก่อน ยันไม่สะทกสะท้าน “คนเสื้อแดง” แค่เสียงนกเสียงกาที่ไม่น่ารัก จะไม่สาดโคลนตอบโต้ จี้ สตช.-อัยการรีบทำหนังสือประสานขอตัว “แม้ว” กลับ เผยเตรียมหาช่องทางเลิกพาสปอร์ตทุกเล่มก่อนออก “ซี.ไอ.” ให้แทน พร้อมแจ้งทุกประเทศ ห้ามให้อดีตนายกฯ ใช้เป็นเวทีด่าทอประเทศไทย ย้ำอีกรอบ ไม่คิดสลัดภาพพันธมิตรฯ เพราะไม่ใช่เรื่องน่าอาย แถมภูมิใจ ซัดกลับคนวิจารณ์เป็นพวกทาสความสามานย์ รับเงินสกปรกของชาวบ้าน


นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ เพื่อออกอากาศทางช่วงสนทนาของรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เมื่อคืนวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกษิตกล่าวถึงการเยือนประเทศกัมพูชาในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ว่า ได้คุยกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศของกัมพูชาแล้ว ส่วนนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น เคยรู้จักกับนายฮุนเซนมาก่อนตั้งแต่ยังมีสงครามในกัมพูชา ระหว่างการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีส ถ้าได้พบอีกคงไปเยี่ยมคารวะ เพราะถือเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของอาเซียน

กรณีที่เคยวิพากษ์วิจารณ์นายฮุนเซนบนเวทีพันธมิตรฯ นั้น นายกษิต กล่าวว่า คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะตนวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณ แต่ไปเกี่ยวกับกัมพูชาเป็นเพียงผลพลอย และไม่ได้ตั้งใจจะไปวิพากษ์วิจารณ์นายฮุนเซนโดยตรง ไม่มีอะไรเป็นอคติ และเมื่อนายฮุนเซนเป็นรัฐบุรุษทางการเมืองของอาเซียน ตนเป็นผู้น้อยก็ต้องไปหาด้วยความเคารพ แต่ไม่เสแสร้ง ทำด้วยความจริงจัง และเชื่อว่านายฮุนเซนที่เป็นผู้ใหญ่ของอาเซียนจะเข้าใจความเป็นไป

นายกษิต กล่าวต่อว่า วันที่ 25-26 นี้จะคุยกับทางกัมพูชาถึงหลักการดำเนินความสัมพันธ์ ซึ่งจะไม่ดำเนินผ่านสื่อทีวีหรือวิทยุ เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ มีอะไรก็คุยกันได้โดยตรง นอกจากนี้ เนื่องจากเรามีความใกล้เคียงกันทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ก็จะมีความร่วมมือกันทางด้านนี้มากขึ้น เช่น อาจมีการชำระประวัติศาสตร์ร่วมกัน

ส่วนกรณีเขาพระวิหาร นายกษิต กล่าวว่า ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเราเคารพตัดสินศาลโลกที่ให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา ปี 2505 และได้ปฏิบัติตามแล้ว แต่ขณะเดียวกันเราเพิ่มข้อสงวนตามจดหมายของนายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ขอสวนสิทธิในการทวงคืนปราสาทพระวิหาร ถ้าเรามีหลักฐานเอกสารใหม่ๆ เราจะรื้อฟื้นคดีขึ้นมาได้ เราได้เริ่มต้นส่งเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการด้านกฎหมายไปที่ฝรั่งเศสเป็นระยะๆ เพื่อค้นคว้าข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศส ในฐานะที่ ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจ เป็นเจ้าโลก กับประเทศสยามที่ต้องอยู่รอดให้ได้ ว่ามีความข้องแวะกันอย่างไร มีเอกสาร หลักฐานอะไร

ส่วนที่ 2 กรอบความสัมพันธ์เรื่องเขตแดนซึ่งเรามีทั้งสนธิสัญญาปี 1907 และ 1907 และมีบันทึกช่วยจำปี 2543 มีหลักฐานการปักปันเขตแดนตั้งแต่ 100 กว่าปีมาแล้ว เราต้องดำเนินต่อไป มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมทางด้านปักปันเขตแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครม.ได้ตั้งทูตวศิน(นายวศิน ธีรเวชญาณ) เป็นผู้เจรจาฝ่ายไทย คู่ขนานกันก็มีคณะกรรมาธิการอีกชุด เรียกว่า General Border Coommittee ระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของไทยกับรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา นี้เป็นกรอบที่จำดำเนินการเรื่องเขตแดน

“ผมอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ หรือว่ารัฐบาลท่านอภิสิทธิ์จะทำยังไง ก็มีหน้าที่ที่จะต้องดันให้ 2 กรรมการนั้น เขาทำหน้าที่ของเขา แล้วก็อย่าเอาเรื่องการเมืองเข้าไปพัวพัน อย่าเอาเรื่องเหล่านี้ หรือเรื่องการเมืองภายใน แล้วผมก็เชื่อว่าสมเด็จฮุนเซนก็ดี ท่านรัฐมนตรีฮอร์ นัมฮง ก็ดี ย่อมจะปฏิบัติ ประพฤติเช่นเดียวกัน ที่จะให้ฝ่ายเทคนิค ทั้งด้านความมั่น ด้านกฎหมาย และเขตแดน ทำงานไปได้

“ถ้าเผื่อเราไม่มีเรื่องส่วนตัว ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน จะเป็นของท่านอภิสิทธิ์ก็ดี ของผมเองก็ดี หรือของรัฐมนตรีกลาโหม ในเมื่อมันไม่มีตรงนี้แล้วนี้ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์เนื้อๆ ที่มันยุ่งอยู่เป็นเพราะผู้มีอำนาจในประเทศของเราเอาเรื่องส่วนตัวไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้เราขจัดไปได้แล้วนี่ ขอเรียนกับพี่น้องว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอันใด เพราะว่ามันเป็นครรลองของสิ่งที่ต้องดำเนินการ” นายกษิตกล่าว

กรณีการเผชิญกับแรงเสียดทานโดยเฉพาะจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่โจมตีเรื่องการร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือไม่นั้น นายกษิตกล่าวว่า ตนได้รับจดหมายแสดงความยินดีจากรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจากทั่วโลกทยอยเข้ามาแทบทุกวัน นอกจากนี้รัฐมนตรีต่างประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลายคนเคยผ่านการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในสังคมมาทั้งนั้น จะเรียกว่านักปฏิวัติก็ได้ นักต่อสู้เพื่อเอกราชก็ได้ พวกเขาเคยผ่านเส้นทางเหล่านี้มา ก็น่าจะพูดกันรู้เรื่อง

นายกษิต กล่าวต่อว่า ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เจรจา 3 รัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว คือญี่ปุ่น พม่า และลาว สัปดาห์หน้าก็จะไปกัมพูชา นอกจากนี้สัปดาห์แรกที่เข้ามาก็ได้เจรจาความและเลี้ยงอาหารกลางวัน สมาชิกวุฒิสภาที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ นายจิม เว็บบ์ จากมลรัฐเวอร์จิเนีย และได้พบคณะทูตด้วยตัวเอง 10-20 คนแล้ว และคงทยอยมาพบ สัปดาห์ที่แล้วนายอภิสิทธิ์ได้เชิญทูตทั้งหมดมาพบที่ทำเนียบ ตนก็ไปพบ ตามประเพณีทางการทูตตอนนี้จึงไม่มีข้อสงสัยอันใด

นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของนายอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ชัดเจนว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีมาตรการที่จะช่วยพี่น้องชาวไทย ช่วยเกษตร คนรากหญ้า คนแก่ คนพิการ รัฐบาลมีเม็ดเงินแล้วที่จะไปช่วยกระดับการเป็นอยู่คนเหล่านี้ให้ดีขึ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่ได้สร้างความสะทกสะเทือนเลย

“ไม่กลัว ไม่แคร์ทั้งสิ้น เพราะว่าพี่น้องชาวไทยอีก 65 ล้านคน มีสติปัญญารักความชอบธรรม รักความจริง เพราะฉะนั้น ผมไม่วิพากษ์วิจารณ์ภาษาที่ไม่ค่อยชำนาญเหล่านั้น หรือพฤติกรรมที่ไม่ปกติเหล่านั้น เพราะว่าต้องเอาประชาชนชาวไทยเป็นที่ตั้ง และเพื่อพี่น้องที่ร่วมในเวทีพันธมิตรฯ เป็นล้านๆ คน ผมคิดว่ากำลังใจที่ได้ให้กับผมมา ทั้งส่ง SMS ส่งจดหมายมา ทั้งส่งการ์ดปีใหม่มา หรือไปที่ไหนมีคนทัก ตรงนี้ต่างหากที่เป็นป้อมปราการ ผมไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ไม่น่ารัก ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่แคร์ แล้วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน ตั้งแต่รับตำแหน่งมา ตั้งแต่วันแรกก็ทำงานไม่ได้หยุดเลย ทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์ แล้วก็จะทำต่อไป ตราบใดที่ยังอยู่ในตำแหน่ง” นายกษิตกล่าว

ต่อข้อถามที่ว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่างก็สนับสนุนให้รับตำแหน่งโดยไม่สะทกสะท้านแสดงว่ามีการคุยกันมาก่อนที่จะมารับตำแหน่งหรือไม่ นายกษิตตอบว่า ประวัติการทำงานของตน 37 ปีที่กระทรวงการต่างประเทศนั้นทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพรู้ชัด สมัยที่ตนเป็นหนุ่มรับราชการที่กรทะรวงต่างประเทศนั้นก็เคยเป็นล่ามให้นายชวน หลีกภัย ตอนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ อยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นตนเติบโตขึ้นมาตลอด และเมื่อเกษียณอายุราชการ นายอภสิทธิ์ก็ชวนเข้าพรรค 3 ปีมานี้ ตนได้ดูแลงานด้านต่างประเทศให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ทำการประสานกับพรรคการเมืองในต่างประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน รวมถึงสานสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเวียดนามด้วย

นายกษิต ย้ำว่า ตนเข้ามาทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์เพราะต้องการให้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านที่ยอดเยี่ยม ไม่ทะเยอทะยานที่จะมาเป็นเสนาบดี แต่ตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเพราะเป็นบ้านที่อยู่มา 30 กว่าปี ก่อนที่พรรคจะตั้งให้เป็นรัฐมนตรีครั้งนี้ ก็ไม่มีการสอบถามอะไร มองตาก็รู้ใจ และก่อนหน้านั้น ตนก็เสนอตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคด้วย ไม่คิดว่าจะได้เป็นรัฐบาล แต่ที่ผ่านมาก็ทำงานเป็นทีมให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด

สำหรับการยกเลิกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตเล่มธรรมดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีโทษจำคุกอยู่ในต่างประเทศนั้น นายกษิต กล่าวว่า กระบวนการอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือถามไปตั้งแต่ก่อนตนเข้ามารับตำแหน่งว่า ถ้ายกเลิกจะกระทบสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ยังรอคำตอบอยู่ และหลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่งก็ได้ถามไปอีกครั้งว่า ถ้ายกเลิกพาสปอร์ตธรรมดาแล้วออกเอกสารเดินทางพิเศษที่เรียกว่า Certificate of Identification หรือ ซี.ไอ. ให้แทนจะทำได้หรือไม่ โดยเอกสาร ซี.ไอ.นี้จะรับรองให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยได้เพียงขาเดียวและเดินทางออกไปอีกไม่ได้

ส่วนการตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมานั้น นายกษิตกล่าวว่า ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ได้ส่งเอกสารเพื่อขอประสานงานให้นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณมา ซึ่งถ้าจะให้ใช้วิธีการทางการเมืองในการเอาตัวมาก็อาจทำได้ ตนจะรับผิดชอบเอง แต่ก็กำลังดูอยู่ กระทรวงการต่างประเทศเคยมีหนังสือสอบถามกฤษฎีกาไว้ก่อนที่ตนจะเข้ามา หากทำไปก็จะเสียมารยาท และได้ถามไปยังตำรวจและอัยการสูงสุดแล้วว่าจะเอาอย่างไร ทั้งนี้ควรเป็นการทำงานร่วมกันของ 3 หน่วยงานคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นายกษิต เปิดเผยว่า ได้ออกคำสั่งไปยังสถานทูตไทยในต่างประเทศทุกๆ แห่งอย่างเงียบๆ แล้ว เพื่อบอกประเทศทั้งหลายว่าเราไม่สบายใจนักหากมีการอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในประเทศเหล่านั้นเพื่อด่าทอ ประเทศไทย หรือว่ามีบทบาททางการเมือง และหวังว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านั้นจะเข้าใจ และโดยมารยาททางการทูตแล้ว ประเทศไทยจะไม่ยอมให้บุคคลใดมาอยู่ในประเทศแล้วด่าไปประเทศแม่เขา เราไม่อยากให้คนๆเดียวมาทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศนั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ประเทศนั้นเปิดเวทีแล้วด่าเข้ามา และหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นอดีตนายตำรวจ อดีตนายกรัฐมนตรี น่าจะรู้กติกา และไม่ทำตัวให้ประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่เขาต้องลำบากใจ

นายกษิต กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศคงไม่ทราบเสมอไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ที่ประเทศไหนอยู่ที่ว่าเราจะต้องทำหน้าที่เป็นตำรวจลับด้วยหรือไม่ เพราะการที่คนไทยจะไปประเทศไหนนั้นไม่ได้บังคับให้จดทะเบียนที่สถานทูต เราแค่ขอร้องให้ไปแจ้งให้สถานทูตหรือกงสุลทราบเวลามีอุบัติเหตุ และการที่จะไปขอสถิติการเข้าออกในหลายๆ ประเทศเขาไม่ให้ เพราะเป็นความลับส่วนบุคคล ไม่มีเหตุอะไรที่เราจะไปขอ แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นกรณีพิเศษ เป็นผู้ร้าย หรือนักโทษ แต่ถ้าจะทำอย่างนั้น สตช. และอัยการสูงสุดวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง เท่าที่ทราบตอนนี้ยังไม่ได้มีการประชุมอะไรเลยทั้งที่มีหน้าที่ต้องเอา พ.ต.ท.ทักษิณมาเข้าคุก แต่ตอนนี้ยังไม่มีหนังสือแจ้งมาเลยที่จะบอกว่า ต้องเอาทักษิณมาเข้าคุก เพราะกระทรวงต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เราจะ ทำข้ามขั้นตอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าตำรวจและอัยการฟังอยู่ พรุ่งนี้ขอให้ประชุมแล้วบอกมาว่าจะเอายังไงกันแน่ แต่สำหรับในส่วนกระทรวงการต่างประเทศได้ศึกษาแล้ว ทั้งเรื่องพาสปอร์ต การสอบถามเรื่องออกซี.ไอ.ว่าทำได้หรือไม่ แต่ยังไม่มีหนังสือติดต่อมาเป็นเรื่องเป็นราวของอีก 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม นายกษิตกล่าวว่า กรณีนายอภิสิทธิ์คงไม่ไปกดดันทั้ง 2 หน่วยงาน เพราะได้พูดชัดแล้วว่าจะไม่ไปกดดัน ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ไม่กลั่นแกล้งใคร แต่ก็ได้บอกว่าให้แต่ละหน่วยงานต้องทำตามหน้าที่และอำนาจที่มีอยู่ในมือ ขณะนี้ หมอกเมฆมันหมดไปแล้ว ขอให้ข้าราชการประจำทำงานให้สบายใจ อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ เช่น จะต้องเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับ ก็ต้องบอกมา แต่ละหน่วยงานต้องช่วยกันเอาใจใส่กับเรื่องนี้ ไม่ใช่หนีภาระ

นายกษิต กล่าวต่อว่า ภายใต้รัฐบาลชุดนี้คงไม่มีปัญหาข้าราชการเกียร์ว่าง เหมือนสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ประกาศว่าจะอยู่เพียงปีเดียว แต่รัฐบาลนี้ไม่คิดว่าจะมาอยู่ชั่วคราว แต่เข้ามาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและจะอยู่ให้ยาวที่สุด สำหรับตนแม้จะหน้าใหม่ทางการเมือง แต่โดยนิสัย เป็นคนที่ทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด และทำเต็มที่ นอกจากนี้เราทำงานเป็นทีม กรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การรับตำแหน่งของตนนั้น รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่เป็นป้อมปราการแน่นหนาที่ช่วยรับรอง ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหว

นอกจากนี้ นายกษิต กล่าวว่า ไม่กลัวว่าข้าราชการจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะได้บอกกับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปแล้วว่า โอกาสที่จะแสดงฝีมือให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นศูนย์แห่งความยอดเยี่ยมของระบบราชการ เหมือนที่เราเคยเป็นนั้น เป็นโอกาสแล้ว ที่จะแสดงฝีมือย่างเต็มที่ และตนเข้าไปครั้งนี้ ไม่มีโผ ไม่มีวาระส่วนตัว นายกฯ ก็ไม่ได้สั่งให้ไปแทรกแซง ไม่มีเด็กของคนโน้นคนนี้เข้ามาล้วงตรงโน้นตรงนี้ ไม่มี

ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจะตกเป็นเป้าอันดับแรกๆ นั้น นายกษิตกล่าวว่า ไม่ได้เตรียมตัวไว้ที่จะตอบโต้เรื่องนี้ ไม่แตรียมตอบโต้กันแบบชาวตลาด หรือว่าเอาสวะไปสาดใส่กัน ตนจะไม่ทำ แต่จะพูดเรื่องนโยบาย มีปัญหาไม่เข้าใจ อยากจะท้วงติงอะไรตนก็จะชี้แจง

“แต่ไอ้เรื่องของการเยาะเย้ยถากถาง ด้วยความหยาบคาย แล้วใช้ลูกล่อลูกชนของมาตราโน้นมาตรานี้ ของระบบระเบียบของรัฐสภา อันนี้ ผมไม่เล่นด้วย แล้วผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าไปเล่นแบบนั้น ประชาชนจะตัดสินว่าจะมีส.ส.กะเฬวรากแบบนั้น หรือเราอยากจะให้รัฐสภาของเรา เป็นรัฐสภาอันทรงเกียรติ

ผมคิดว่า ส.ส.ทุกคนก็มีหน้าที่ต่อมาตราของความเป็นประชาธิปไตย ของระบอบรัฐสภา ถ้าเผื่อท่านจะใช้ผมเป็นเครื่องทำลายระบบรัฐสภาก็เชิญเถอะครับ”

สำหรับการสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกนั้น นายกษิตกล่าวว่า เมื่อ 10 กว่าวันที่ผ่านมีการพิจารณาเรื่องภาพลักษณ์ประเทศไทย โดย ครม.ให้งบประมาณมา 500 กว่าล้านบาท ซึ่งจะนำไปทำโรดโชว์ด้านการท่องเที่ยว การส่งออก การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) งานแรกจะจัดที่โตเกียว โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปด้วยเพื่อทำเรื่องเศรษฐกิจโดยเฉพาะ นอกจากนี้มีงบฯ อีก 100 กว่าล้าน เพื่อใช้ในการว่างจ้างบริษัทที่ปรึกษา ไม่ใช่ล็อบบี้ยิสต์ แต่เป็นบริษัทที่เก่งด้านเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเราไปสู่ระดับรากหญ้าของโลก โดยจะจ้าง 1-2 บริษัท ซึ่งจะมีทีมไปชี้แจงบนเวทีโลก

นอกนั้นก็มีคนที่นิยมชมชอบและรู้จักประเทศไทย ที่เขารู้ว่าข่าวที่ออกมาจากหนังสือพิมพ์ระดับโลกบางฉบับที่ไม่สะท้อนข้อเท็จจริงแต่เป็นเครื่องมือทางการเมือง ล่าสุดอดีตทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ท่านจอห์นสันก็ได้เขียนบทความลง เราก็ได้ตั้งข้อมูลเหล่านี้ไปให้เครือข่ายของคนที่เขามีความรัก มีความห่วงใย ซึ่งก็มีเยอะ และเป็นเรื่องของสงครามไซเบอร์ มีคนร้ายที่ต้องการจะบ่อนทำลาย

ล่าสุด เรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นายอภิสิทธ์ก็พูดชัดว่ามีการพยายามดึงเอาสถาบันมาเล่นการเมือง ซึ่งไม่ถูกต้องและรัฐบาลนี้ไม่ทำ ท่านอยู่เหนือการเมือง ส่วนใครจะทำนั้น เขาอาจไม่รู้ เราก็ต้องชี้แจง

ที่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามว่า ทำไมนายกฯ ให้ความสำคัญเรื่องนี้และยกมาเป็นนโยบายอันดับแรกๆ นั้น นายกษิต กล่าวว่า เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวม แต่ละพระองค์ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศมากมาย เป็นความรักของประชาชนชาวไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์ และต้องการจะปกป้อง นายอภิสิทธิ์เพียงแต่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดความเทิดทูนบูชา ความรักที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ใครที่พยายามจะดึงท่านลงมาเป็นเครื่องมือเป็นเรื่องที่เลวร้าย เราก็ต้องขจัด แต่ทุกอย่างก็จะทำภายใต้กฎหมาย ไม่ขัดเสรีภาพ แต่ในเมืองนอกเขามีกฎหมายเอาผิดคนที่กุเรื่องไม่จริงขึ้นมาทำให้คนอื่นเสียหาย คนที่เป็นสุภาพบุรุษเขาไม่ทำอย่างนี้ เป็นขบวนการที่จะบ่อนทำลาย

นายกษิตกล่าวถึงการเตรียมพร้อมการประชุมอาเซียนปลายเดือนนี้ว่า ผู้นำทั้ง 9 ประเทศตอบรับพร้อมเดินทางมาแล้ว ส้วนสถานที่ การดูแลความปลอดภัย สารัตถะเนื้อหาก็พร้อมแล้ว เว้นแต่รัฐสภายังไม่รับรองข้อตกลงอาเซียน 33 ฉบับ ซึ่งจะทำตอนเปิดสภาวันที่ 21 นี้ ด้านความมั่นคงปลอดภัย นายสุเทพได้ประชุมหน่วยราชการแล้ว ไม่มีปัญหา ส่วนการประท้วงนั้นก็ทำได้ แต่ถ้าใช้ไข่โจมตีก็ผิดกฎหมาย

นายกษิต ได้กล่าวถึงพฤติกรรมที่ไม่สมควรของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ในช่วงที่รัฐบาลให้การต้อนรับผู้นำติมอร์ ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนเล่นบรรเลงชาติของวติมอร์นั้น พวกประท้วงไม่ลดเสียงรบกวนลงเลย เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของชาติอย่างยิ่ง และเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อความถูกต้อง

“มันจะอะไรไปถึงไหน ยอมเป็นทาสเงินถึงต้องขายจิตวิญญาณเลยหรือไม่” นายกษิต กล่าว

กรณีที่นายกษิตเคยให้สัมภาษณ์นายสุทธิชัย หยุ่น ทางรายการในช่อง 9 อสมท เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าจะไม่สลัดภาพพันธมิตรฯ ออกไปนั้น นายกษิตอธิบายเพิ่มเติมว่า เพราะไม่ใช่เรื่องน่าอาย คิดว่ามันสนุกดีและภูมิใจ เป็นเรื่องของการทำเพื่อสังคม แล้วเราจะไปสลัดประวัติของเราได้อย่างไร

“มันเป็นประวัติที่ไม่ได้แอบซ่อนอยู่ในมุมมืด เราอยู่บนเวที คนเห็นทั่วประเทศไทย แล้วผมจะมาบอกว่า ณ วันนี้ผมเป็นรัฐมนตรี เป็นเสนาบดีแล้วไม่เกี่ยว มันไม่ใช่

“แล้วผมก็เคยพูดไปด้วยว่า ท่านเลช วาเลนซา ของโปแลนด์ ท่านยอชกา ฟิชเชอร์ ท่านอะไรต่างๆ เหล่านี้ โตขึ้นมาบนท้องถนนของการต่อสู้เพื่อ เพื่อความเป็นประชาธิปไตยหรือเพื่อเอกราชกันทั้งนั้น หรือท่านเยลต์ชิน นี่ว่ายังไงครับ เอารถถังยิงอะไรครับ ยิงสภาใช่ไหม แล้วเขาก็มาเป็นนักประชาธิปไตย แต่กระบวนการเขาต่อสู้เพื่อจะให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย มันก็ต้องมีการประท้วงกันบ้าง

“แต่ผมไม่ได้ไปจับอาวุธไปสู้อะไรกับเขา อาวุธของผมคือปัญญากับฝีปากเท่านั้นเอง แล้วยังมาบอกว่าผมเป็นผู้ก่อการร้ายก็โก้จะตาย แปลว่าปากกับสมองนี่ เป็นอาวุธของการก่อการร้ายก็ยินครับ” นายกษิต

นายกษิต กล่าวยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แคร์ ไม่หวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น “คนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมอยู่ตอนนี้มันก็นักการเมืองสกปรกรับเงินชาวบ้านเขาอยู่ ใช่หรือเปล่า เป็นทาสแห่งความสามานย์ของระบบการเมืองหรือเปล่า แล้วจะมาพูดอะไรเกี่ยวกับความถูกต้อง มาพูดอะไรเกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตย ในเมื่อท่านเหล่านั้นไม่มีอะไรที่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีอะไรที่ถูกต้อง เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของโทสะ เป็นทาสของเงินเท่านั้นเอง คำว่าประชาธิปไตยเป็นแค่คำพูดที่ลอยไป ไม่มีอะไรที่มีคุณค่าแห่งความเป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในใจ อยู่ในสมอง หรือในพฤติกรรมเลย แล้วจะมาวิพากษ์วิจารณ์ผมได้ยังไง”

นายกษิต กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าหากการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณทำให้อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ก็ไม่เสียใจ อยู่ 7 วัน ก็ทำงานได้ สนุกที่ได้ทำงาน ตั้งแต่เข้ามาก็สั่งข้าราชการทำงานเป็น 100 เรื่องแล้ว แต่การทำงานไม่ได้อยู่ที่อยู่นานหรือไม่ อยู่ที่ว่าแต่ละวินาทีทำอะไรได้บ้าง และถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งกํไม่ว่าอะไร มาออกทีวี ไปสอนหนังสือได้ ไปอยู่บทบาทอื่นก็ทำงานให้ประเทศไทยได้ และไม่โกรธ ไม่เคืองใคร




กำลังโหลดความคิดเห็น