ศูนย์ข่าวอิศรา – ปชช.3 จังหวัดชายแดนใต้ ตั้งความหวัง รัฐบาล ปชป.ดับไฟใต้ที่ลุกโชน เชื่อ “อภิสิทธิ์” จะเป็นผู้นำที่ดี แต่ก็ต้องผลักดันให้ ปชป.เป็นพรรคของคนไทยทั้งประเทศ มิใช่ติดภาพเป็นพรรคของคนใต้ หนุนตั้งทีมเฉพาะดับไฟใต้ ตั้งชวนคุม พร้อมผลักดันเร่งแก้ปัญหาราคายาง-สินค้าเกษตร
วานนี้ (15 ธ.ค.) โต๊ะข่าวภาคใต้ ศูนย์ข่าวอิศรา ได้รายงานถึงทัศนะของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติ 235 ต่อ 198 เสียง เลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 และอยู่ในระหว่างรอการโปรดเกล้าฯ โดยระบุว่า ประชาชนทุกภาคส่วนในจังหวัดชายแดนภาคใต้แสดงท่าทีตอบรับ นายอภิสิทธิ์ โดยส่วนใหญ่คาดหวังให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ชี้ “อภิสิทธิ์” ต้องดัน ปชป.เป็นพรรคของคนทั้งชาติ
รายงานข่าวระบุว่า นายนิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนาอิสลามประจำจังหวัดยะลา แสดงความเห็นถึง ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่า ส่วนตัวมองว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นคนรุ่นใหม่ มีความคิดแบบใหม่ๆ ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการเป็นผู้นำประเทศ และเชื่อมั่นว่า นายอภิสิทธิ์ จะทำหน้าที่นายกฯได้ดี เพราะตลอดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ ก็เป็นผู้นำพรรคที่ดีมาโดยตลอด ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นพรรคเก่าแก่ที่มีความคมเรื่องนโยบาย แต่มีข้อเสียตรงที่ติดภาพเป็นพรรคของคนภาคใต้ ซึ่งตรงนี้ต้องแก้ไขให้เป็นพรรคของคนไทยทั้งประเทศ
ส่วน ปัญหาชาติที่รอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาสะสางนั้น นายนิมุ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาภาคใต้ ทั้งในมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งปัญหาเร่งด่วนคือราคายางพาราที่ตกต่ำอย่างหนัก
“รัฐบาลต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ให้ได้ ด้วยการสร้างความเป็นเอกภาพของหน่วยงานระดับปฏิบัติ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ต้องสลายสีต่างๆ ในพื้นที่ให้ทำงานร่วมกัน ทำพื้นที่ให้ปราศจากการก่อการร้าย ยาเสพติดและอบายมุข หากทำได้เชื่อว่าสามจังหวัดชายแดนจะสันติสุข” นายนิมุ กล่าว
ส่วนเรื่องการศึกษา นายนิมุ เสนอว่า รัฐบาลต้องไม่เข้าไปทำลายระบบและโครงสร้างเดิมที่เกี่ยวพันกับศาสนา ทั้ง มัสยิด ตาดีกา และโรงเรียนปอเนาะ คือ ไปพัฒนาแต่อย่าไปเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งประกันคุณภาพชีวิต ยกระดับครูผู้สอนให้ผสมผสานกันในทุกระดับ ปรับมาตรฐานของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดใหม่ควรคลี่คลายเป็นอันดับแรก คือ ต้องสานสัมพันธ์คนในชาติให้เกิดความรักสามัคคีและสมานฉันท์ ต้องแก้ตรงนี้ก่อนถึงจะแก้ปัญหาอื่นๆ ของประเทศได้ ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ ประกาศจะทำหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองนั้น ก็คงต้องให้โอกาส ให้ได้แสดงศักยภาพ ไม่ควรไปโวยวายหรือวิจารณ์มากนัก เราต้องตั้งความหวังและช่วยสนับสนุน
“ส่วนตัวผมคิดว่าภายในเวลา 3-6 เดือนน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อยากฝากถึงคนไทยทั่วประเทศว่า ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเราต้องไปด้วยกัน ถ้าแบ่งพวกกันอยู่เช่นนี้ ประเทศก็จะเดินไปข้างหน้าไม่ได้” นายนิมุ กล่าว
ทวงสัญญาตั้ง รมต.ดับไฟใต้
นายยะโก๊บ หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เท่าที่รับฟังเสียงจากชาวบ้าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเดือดร้อนจากปัญหาความไม่สงบ และเศรษฐกิจในพื้นที่ก็ไม่ค่อยดีมาเป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาตรงนี้ได้ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก และจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านได้ นอกจากนั้น ก็อยากให้แก้ไขเรื่องการศึกษาให้เข้มข้นมากกว่านี้ ไม่ใช่ไปให้ความสำคัญกับระดับการศึกษาที่สูงเกินไป ควรให้จะให้ความสำคัญการศึกษากับระดับล่างบ้าง
“ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เคยประกาศว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะแต่งตั้งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบปัญหาภาคใต้โดยตรง เรื่องนี้ผมเห็นด้วย แต่ขณะเดียวกัน ผมมองกลับกันว่า รัฐบาลควรจัดตั้งในรูปองค์กรในพื้นที่ที่รับผิดชอบเป็นการเฉพาะไปเลยจะดีกว่า โดยเป็นองค์กรคล้ายๆ กับ ศอ.บต.(ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบน เพราะปัญหาในพื้นที่ คนในพื้นที่ย่อมรู้ดีกว่าอยู่แล้ว” นายยะโก๊บ ระบุ
หอการค้ายะลาหนุน “มาร์ค” คุมทีม ศก.
ด้านความเห็นของภาคธุรกิจ นายวิรัช อัศวะสุขสันต์ ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา กล่าวว่า เบื้องต้นอยากให้ นายอภิสิทธิ์ ลงพื้นที่มารับฟังปัญหาด้วยตัวเอง เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ค่อยใส่ใจกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่าที่ควร ยิ่งตอนนี้ราคายางพาราตกต่ำอย่างหนัก ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะ จ.ยะลา ประชาชนมีรายได้หลักจากยางพารา เมื่อประชาชนมีรายได้ลดลง ผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบตามกันเป็นลูกโซ่
“ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ รัฐบาลควรแก้ไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งต้องเร่งความเชื่อมั่นทั้งกับคนไทยด้วยกันเองและเวทีนานาชาติ เพราะผลจากการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทำให้ชาวต่างชาติมองประเทศไทยในแง่ลบ” ปธ.หอการค้ายะลา กล่าว
ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ ประกาศจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองนั้น ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีมาก ถือว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว เพราะจะทำให้การทำงานมีความเด็ดขาดและมีเอกภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากจะให้ดี ควรตั้งรัฐมนตรีดูแลพื้นที่พัฒนาพิเศษในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะด้วย จะได้ผลักดันให้สำเร็จเสียที
“ทุกวันนี้ประเทศไทยเกิดวิกฤตหลายๆ ด้าน จนทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น คนในประเทศขาดความสามัคคี ทะเลาะกันเอง แบ่งพรรคแบ่งพวก ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปประเทศจะไปไม่รอด แต่ส่วนตัวคิดว่าแม้ปัญหาจะหนัก แต่ คุณอภิสิทธิ์ จะฝ่าฟันไปได้ และไม่เกิน 3 เดือน ทุกอย่างจะเริ่มเห็นผล” นายวิรัช ระบุ
ขณะที่ น.ส.สมหญิง ชัยรัตนมโนกร เลขาธิการหอการค้าจังหวัดยะลา กล่าวว่า ภาคธุรกิจมีความคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ เพราะมีแรงกดดันจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฉะนั้นนายกฯคนใหม่ต้องจัดลำดับปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขโดยเร็ว โดยทำควบคู่ไปกับการสร้างสมานฉันท์ของคนในชาติ
หอการค้า นราฯ ขอให้กู้ ศก.ภาพรวมก่อน
นายสมบูรณ์ บุญธำรงกิจ ประธานหอการค้าจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายอดทนและติดตามการทำงานของนายอภิสิทธิ์และคณะ ก่อนตัดสินใจประท้วงหรือขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากขณะนี้ประเทศมาถึงทางตันที่ต้องหาทางออกให้ได้
“สิ่งแรกที่ผมอยากเห็น คือ ทีมเศรษฐกิจที่ดี และแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางอย่างไรบ้าง อยากให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมก่อน แม้พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่จำเป็นต้องเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของภาคใต้เป็นหลัก เพราะหากเศรษฐกิจภาพรวมดี ด้วยกลไกของระบบก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจในภาคใต้ดีตามไปด้วยอยู่แล้ว” ประธานหอการค้าจังหวัดนราธิวาส ระบุ
แกนนำครู ชี้ “อภิสิทธิ์” คือความหวัง
นายบุญสม ทองศรีพลาย ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ คือ ความหวังหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่ต้องใช้ความอดทน และให้เวลาได้ทำงานก่อน โดยภาพรวมแล้วคิดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถแก้ปัญหาประเทศได้ แม้ตัวแปรจะเยอะก็ตาม
“อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก เพราะตอนนี้ประชาชนได้รับผลกระทบและเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรราคาตกต่ำ ขณะเดียวกันก็ขอสนับสนุนให้รัฐบาลใหม่เร่งจัดการเรื่องการศึกษา และคลี่คลายปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหลักการสำคัญคือต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และบูรณาการทุกส่วนให้สามารถทำงานร่วมกัน” แกนนำครูชายแดนใต้ ระบุ
นศ.แนะพัฒนาประชาธิปไตย
ด้านความเห็นของนักศึกษาอย่าง นายชารีฟฟุดดีน สารีมิง แกนนำนักศึกษา และประธานสภากาแฟ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์คือตัวเลือกและทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ เพราะจะทำให้ภาวะขัดแย้งทางการเมืองชะลอความรุนแรงลงไป อย่างไรก็ดี เมื่อนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯแล้ว ก็อยากให้ช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยเน้นเรื่องเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ขณะเดียวกันก็อยากให้ประเทศไทยมีการพัฒนาประชาธิปไตยที่ดีขึ้น เพราะถึงเวลาแล้วที่ผู้นำรัฐบาลจะทำประชาธิปไตยไทยให้เติบโตมากกว่านี้
“ในส่วนของนักศึกษา เท่าที่ได้คุยกับแกนนำหลายคน ทุกคนดูจะจะยอมรับได้กับนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ แต่สิ่งที่พวกเราอยากเห็นคือ ความมีสปิริตของนักการเมืองที่เน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เป็นคนดี ช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครถ้าเข้ามาแล้วบริหารประเทศได้ดี ยืนยันได้เลยว่าพลังนักศึกษาจะไม่รวมตัวประท้วงอย่างแน่นอน” แกนนำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าว
นักธุรกิจเสนอมาตรการกู้วิกฤต
วันเดียวกัน ที่โรงแรมหาดใหญ่ พาราไดซ์ แอนด์ รีสอร์ท จ.สงขลา พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการ ศอ.บต.และ นายอาซิส เบ็ญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษา ศอ.บต.ได้ตั้งวงหารือกับผู้แทนส่วนราชการและภาคธุรกิจในพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อวางแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดสถานการณ์กำลังรุนแรง โรงงานกว่า 100 แห่งกำลังปิดตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติสหรัฐ และปัญหาความไม่สงบ
ทั้งนี้ ข้อเสนอจากที่ประชุม คือ ต้องการให้ภาครัฐเร่งหามาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น แก้ปัญหาเรื่องราคายางพาราตกต่ำ การช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง การช่วยเหลือภาคธุรกิจในเรื่องเงินกู้และการลดภาษี รวมถึงการเร่งรัดโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ที่ จ.ปัตตานี เป็นต้น โดยมาตรการทั้งหมดภาคเอกชนได้จัดทำเป็นข้อเสนอผ่าน ศอ.บต.ส่งถึงรัฐบาลชุดใหม่เพื่อเร่งดำเนินการโดยด่วน
ปชป.เล็งส่ง “ชวน หลีกภัย” คุมดับไฟใต้
ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ปรากฏว่า บรรดาแกนนำพรรคได้หารือนอกรอบกันถึงแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการวางตัวบุคคลเพื่อรับผิดชอบ เพราะเป็นปัญหาที่ทางพรรคให้ความสำคัญอย่างมาก
ทั้งนี้ นโยบายดับไฟใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 นั้น มีประเด็นหลักๆ คือ การเสนอให้มีรัฐมนตรีดูแลปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะ และการเสนอตั้งสำนักงานบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ สบ.ชต.เพื่อให้การทำงานของฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งทางพรรคได้เคยเสนอร่างกฎหมายเพื่อบรรจุเข้าเป็นระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรนานร่วมปีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า
แหล่งข่าวระดับสูงจากพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า มีคำยืนยันจากแกนนำพรรคแล้วว่า จะปรับแผนไม่ตั้งรัฐมนตรีดับไฟใต้เป็นการเฉพาะ แต่จะเสนอให้ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ รับผิดชอบดูแลการแก้ไขปัญหาในฐานะประธานคณะทำงานพิเศษ หรือองค์กรพิเศษที่มีการบริหารงานอย่างคล่องตัวเพื่อสนองตอบกับสถานการณ์ความรุนแรงที่มีพลวัตเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว
นายนิพนธ์ บุญญามณี ขุนพลภาคใต้ของประชาธิปัตย์ กล่าวว่า องค์พิเศษที่จะจัดตั้งขึ้นก็คือ สบ.ชต.ที่ทางพรรคเคยเสนอร่างกฎหมายเอาไว้นั่นเอง เพราะปัญหาภาคใต้ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนงบประมาณ เนื่องจากปีล่าสุดรัฐบาลได้ทุ่มเม็ดเงินลงไปในพื้นที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่ปัญหาหลักจริงๆ อยู่ที่ความไม่เป็นเอกภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง สบ.ชต.จะอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้
“แม้เรื่องตัวบุคคลที่จะคุมองค์กรพิเศษดับไฟใต้ยังไม่ลงตัว แต่ท่านอดีตนายกฯ ชวนคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด เพราะท่านลงพื้นที่มากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องมานั่งเป็นรัฐมนตรี หรือดูแลองค์กร สบ.ชต.โดยตำแหน่ง เพราะท่านเป็นถึงอดีตนายกฯ แต่ท่านก็มีความพร้อม และทำได้แน่นอนในฐานะประธานที่ปรึกษา”
อนึ่ง นายชวน หลีกภัย คือ ส.ส.เพียงคนเดียวที่ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่องแม้ในยามที่เป็นฝ่ายค้าน และไม่ใช่ช่วงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กระทั่งได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่อย่างกว้างขวาง