“สมเกียรติ” ชี้ “ระบอบแม้ว” อ่อนแรง ชักใยโหวตนายกฯ พลาด ขณะ “แก๊งเสื้อแดง” กดดันสภา ไร้ผล ลั่น ประชาธิปัตย์ พร้อมรื้อซากทุจริต “ระบอบทักษิณ” เตรียมสานต่อคดีตกค้าง คตส.18 คดี พร้อมปฏิรูปสื่อให้ประชาชนมีภูมิการเมืองที่แข็งแรง จับตาเลือกตั้งซ่อม 26 เขต ระบอบทักษิณดิ้นเฮือกสุดท้าย
เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.วันนี้ (15 ธ.ค.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการ “เวทีชาวบ้านเวทีพันธมิตร” ทาง ASTV ว่า การแพ้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นว่า ระบอบทักษิณ เริ่มคาดการณ์ผิด เพราะซึ่งการแพ้โหวต แสดงว่า ไม่สามารถที่จะซื้อเสียงในสภาได้แล้ว อีกทั้งการระดมกลุ่มเสื้อแดงเข้ามากดดันก็อ่อนแรงลงไปมาก โดยรวมแล้วถือเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายที่มีความพยายามที่จะทวงคืนอำนาจรัฐที่เคยได้ครอบครองมา
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตลอด 8 ปี และการที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน จึงรู้ไส้รู้พุงความสามานย์ของระบอบทักษิณเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระ ซื้อเสียงประชาชน ซื้อพรรคการเมือง การทุจริตคอร์รัปชัน
นายสมเกียรติ ระบุว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาลต่อจากระบอบทักษิณ จากนี้จึงต้องมีปัญหาที่ต้องสะสางอีกมากมายยกกำลังสอง ถ้าเปรียบเทียบกับวิกฤตการณ์เมื่อปี 2540 ที่มีแค่ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ยังต้องเจอทั้งปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ ทั้งนี้ มี 3 ข้อหลักที่ต้องเร่งสะสาง คือ 1.บรรดาคดีต่างๆ ทั้ง 18 คดี ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ได้ตรวจสอบไว้แล้ว 2.คดีการทุจริตของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ ทอท.อีก 13 คดี 3.ชะล้างองค์กรต่างๆ ที่ยังเหมือนเป็นกลไกตกค้างของระบอบทักษิณ
“ปัญหาท้าทายทั้งหลายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ทำไมไม่มีคนเข้าไปตรวจสอบ 13 คดีของ ทอท.ซึ่งจำเป็นต้องคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งองค์กรอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ DSI องค์การอาหารและยา ที่เห็นชัดเจนว่า ที่ผ่านมาทำงานเอื้อประโยชน์แก่ระบอบทักษิณ รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยังอิงแอบอยู่ข้างทักษิณ ทางผมและผู้ใหญ่ในพรรคได้ปรึกษากันว่าต้องเข้าไปดูแลกันให้จริงจังเสียที” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ถ้าไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ASTV วันนี้อาจจะไม่มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนี้เริ่มเห็นเค้าลาง ว่า ประเทศกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ดูได้จากการที่ทางสภาอุตสาหกรรม หอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมที่โดยปกติแล้วจะไม่พูดถึงเรื่องการเมือง แต่ในวันนี้ต้องออกมาพูด เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาแก้แต่ปัญหาของตัวเอง เห็นแล้วว่า การเมืองมีผลกระทบกับภาคธุรกิจและบริษัทของเขาเหล่านั้นโดยตรง
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์ บอกตนว่า จะมีรายการ “นายกฯ พบประชาชน” เหมือนเดิม แต่จะแบ่งเวลาให้กับฝ่ายค้าน 1 ชั่วโมง และแบ่งให้ภาคประชาชนด้วย 1 ชั่วโมง เป็น 3 เวลา ซึ่งตอนนี้พรรคมีความตั้งใจ ว่า จะเป็นต้องปฏิรูปสื่อทั้งโทรทัศน์และวิทยุ โดยจะควบคู่ไปกับการปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้ภาคการเมืองให้มาก เพื่อที่จะรู้ข้อมูลประกอบในการตัดสินใจทำเป็นทีวีการเมืองภาคประชาชน
นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปรากฏการณ์การเมืองในสภา เมื่อเช้าที่ผ่านมา ตนเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เริ่มที่จะมีดวงตาเห็นธรรม และจะยิ่งชัดเจนเห็นผลในวันข้างหน้า แต่ตนเชื่อว่า ระบอบทักษิณคงยังไม่สิ้นลายง่ายๆ เพราะยังมีการเลือกตั้งซ่อมในอีก 22 จังหวัด 26 เขต รวมทั้งสิ้น 29 คน ในวันที่ 11 มกราคม 2552 ซึ่งระบอบทักษิณอาจใช้เงินซื้อ เพื่อให้ได้ ส.ส.เพิ่ม และจะส่งผลให้ ส.ส.ในสภา มีตัวเลขเท่าๆ กันเลยทีเดียว และกลุ่มคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ ก็มีการขู่ว่าจะมีการปิดล้อม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีกระบวนการดิ้นเฮือกสุดท้ายอยู่