“สนธิ” แฉแหลก “ผอ.การท่าอากาศยาน” สุดใจบาป ไม่ยอมสั่งให้เจ้าหน้าที่เคลียร์ทางให้ “สายการบินอิหร่าน” ลงจอดเพื่อรับ “พี่น้องมุสลิม” ไปประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา ก่อนปูด “ตร.น้ำ” สุมหัว “ทรราช” ลอบยิงบึ้ม “เอเอสทีวี” พร้อมปัดเจรจา “ชายอำมหิต” ลั่นปักหลักสู้เพื่อชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ไม่เคยคิดหนีออกนอกประเทศ
วานนี้ (28 พ.ย.) เมื่อเวลาประมาร 21.40 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยกล่าวถึงกรณีที่ชาวมุสลิมไม่สามารถบินไปทำพิธีที่สำคัญทางศาสนาในต่างประเทศว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พันธมิตรฯ แต่ที่พี่น้องชาวมุสลิมไม่ได้ไปประกอบพิธีทางศาสนานั้น มีสาเหตุมาจากนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เป็นคนกลั่นแกล้ง เพราะสายการบินอิหร่านจะเอาเครื่องบินลงมารับพี่น้องมุสลิมที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่นายเสรีลักษณ์ นั้น ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่การท่าไปบริการให้สายการบินอิหร่านลงจอด เขาจึงลงไม่ได้ แล้วเขาก็โยนความผิดมาให้กับพันธมิตรฯ ว่าเป็นต้นเหตุ แต่อีกไม่นานพี่น้องชาวมุสลิมได้รู้ว่า พันธมิตรฯ คือมิตรแท้
“เราพูดมาตลอดเวลาว่า เราจะเปิดทางให้พี่น้องชาวมุสลิมไปประกอบพิธีทางศาสนา แต่นายเสรีลักษณ์ กลับโยนความผิดมาให้เรา ฉะนั้นผมขอเอาเกียรติยศ และสัจจะวาจาเป็นเครื่องประกันด้วยชีวิตว่า ถ้าพี่น้องชาวมุสลิมที่จะไปทำพิธีทางศาสนาแล้วไปไม่ได้เพราะความชั่วช้าสามานของคนในการท่าอากาศยาน ผมจะให้ทีมงานจดชื่อพี่น้องชาวมุสลิม แล้วปีหน้าผมจะระดมทุนออกค่าใช้จ่ายให้พี่น้องชาวมุสลิมที่ติดค้างอยู่ให้หมดทุกคน”นายสนธิ กล่าว
ส่วนเหตุระเบิดขึ้นกับสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี เมื่อกลางดึกของวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น นายสนธิ กล่าวว่า พวกเราที่เอเอสทีวี ต้องพกอาวุธกันทุกคน เพราะทีมงานที่ลงมือยิงพวกเรานั้น ก็คือตำรวจน้ำ แต่เขายิงไม่ถึงเสาอากาศของเรา ที่สำคัญเขายิงเราด้วยปืนกล ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าตำรวจควรจะช่วยเหลือประชาชน แต่กลับไปอยู่เบื้องหลัง แถมยังช่วยคนเหล่านั้น ฉะนั้นตนจึงต้องเฝ้าเอเอสทีวี แทนพี่น้องประชาชน เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญของการต่อสู้ในครั้งนี้ โดยพนักงาน 80 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหมด ขนมาอยู่กับพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี จึงเหลือคนอยู่เพียงไม่กี่คนที่จะคอยป้องกันจากพวกคนชั่ว
“มีการติดต่อมาเพื่อเจรจา โดยคนหนึ่งมียศพลตำรวจเอก ส่วนอีกหนึ่งเป็นนักการเมือง โดยติดต่อผ่านมาทางนายชัชวาล ชาติสุทธิพิกุลชัย นักปราศรัยปากกล้า โดยระบุว่า พี่สนธิ นายสมชาย ขอเจรจาด้วย และพร้อมที่จะพบกับผมในทุกๆ ที่ ยกเว้น กทม. ผมจึงตอบกลับไปว่า ผมตกภาษาไทย จึงสะกดคำว่าเจรจาไม่เป็น ที่สำคัญไอ้พวกกลางกวงซึ่งมาทำหน้าที่เจรจาเพื่อให้พูดจากัน และหาทางตกลงกัน ผมจึงตอบกลับไปว่า ให้ไปถามดวงวิญญาณของน้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ รวมทั้งคนที่เสียชีวิต และคนที่บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ว่าเขาจะเจรจาหรือไม่ หรือถ้านายสมชาย สามารถทำให้คนเสียชีวิตฟื้นกลับคืนมาได้ หรือทำให้ร่างกายของคนแขนขาด และขาด กลับมาเหมือนได้ แล้วค่อยมาเจรจากัน ฉะนั้นขอให้พี่น้องสบายใจได้ เพราะผมจะไม่หนีไปไหน”นายสนธิ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึงพี่น้องประชาชนที่สูญเสียรายได้จากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิว่า ตนเห็นใจผู้ประกอบการที่เสียหายจริงๆ จะให้ยกมือไหว้ หรือกราบที่แทบเท้าก็ได้ แต่อยากให้คนที่เสียรายได้ ให้คิดถึงคนที่มาชุมนุม เพราะเขาเหล่านั้นต้องทิ้งธุรกิจ และทิ้งบ้านมาต่อสู้ ทั้งๆ ที่บ้านเขาถูกน้ำท่วม แต่ที่เขาเหล่านั้นมาสู้ก็เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่สำคัญเรายังไม่ได้นับชีวิตของผู้ที่ล่วงลับเพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ ฉะนั้นขอให้พี่น้องผู้ประกอบการอดทนอีกนิดหนึ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นายสนธิ ยังกล่าวถึงประวัติของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ว่า พล.ต.อ.โกวิท กระเหี้ยนกระหือรือมาก เพราะได้โทรศัพท์ไปสั่งให้ทหารอากาศ และทหารเรือ ให้ส่งกำลังมา 3 กองร้อย หรือ 450 คน ไปที่สนามบินดอนเมือง ทหารอากาศก็ดีใจหาย ตอบกลับไปว่า พร้อมที่จะทำให้ แต่ พล.ต.อ.โกวิท กรุณาลงชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องจัดเบี้ยเลี้ยงเป็นเงินสดให้ด้วย จนขณะนี้ผ่านไป 6 ชั่วโมงแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญ พล.ต.อ.โกวิท พูดกับเพื่อนตำรวจด้วยกันว่า ปีหน้าเขาจะเกษียณอายุแล้ว เรื่องอะไรเขาจะต้องเจ็บตัว
“เมื่อเหตุการณ์ตรงนี้จบลง การเมืองไทยจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการเมืองของประเทศไทยจะปฏิเสธความเห็นของภาคประชาชนไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากภาคประชาชนได้รับการฝึกอบรมมาเป็นเวลา 6 เดือนกว่า ซึ่งทั้งการดาวกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ และการสูญเสียชีวิตของผู้ที่ร่วมกันต่อสู้มาจนถึงวันนี้ ทำให้การเมืองภาคประชาชนตื่นตัว และที่สำคัญพี่น้องพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ในสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้อง ฉะนั้นจากนี้ไป นักการเมืองสัตว์นรก หรือข้าราชการที่กลั่นแกล้งประชาชน จะไม่สามารถลอยนวลได้อีกต่อไป แล้วใครจะรู้บ้างว่า การต่อสู้ของพวกเรา คือสุดยอดของการต่อสู้แล้ว”นายสนธิ ระบุ
ส่วนพวกนักวิชาการที่มาสั่งสอนพันธมิตรฯ เรื่องทฤษฎีการเมืองนั้น นายสนธิ กล่าวว่า พวกนักวิชาการหน้าอ่อน ขนเพิ่งขึ้นจำนวนมาก แล้วมาสั่งสอนพวกเราเรื่องทฤษฎีการเมืองนั้น อยากจะบอกให้รู้ว่า ทฤษฎีการเมืองที่แท้จริงอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ฉะนั้นพวกนักวิชาการที่ออกมาวิจารณ์พันธมิตรฯ ทำผิดโน่นนี่นั่น ขอให้เลิกได้แล้ว เพราะคนเหล่านี้ทำได้แค่ท่องบ่น ท่องจำ ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากพวกนักการเมืองที่อ้างว่า เขามาจากการเลือกตั้ง หากแน่จริงมาขึ้นเวทีเดียวกันเอาหรือไม่
“ขอให้พ่อแม่พี่น้องจงมั่นใจว่า เราชนะแน่นอน ส่วนพวกนักวิชาการ หรือนักธุรกิจสันขวานที่ออกมาระบุว่าเราปิดสนามบินแล้วเสียหายถึงวันละแสนล้านบาทนั้น คนพวกนี้ไม่ได้พูดความจริง เพราะเขาพูดเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ ส่วนบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เขาไม่เคยสนใจ ที่สำคัญการมาในครั้งนี้ของพวกเราเพราะถูกบังคับจากรัฐบาลสัตว์นรก และถ้ารัฐบาลสัตว์นรกออกทั้งคณะวันนี้ เราก็จะกลับบ้านกันทันที ทั้งๆ รัฐบาลนี้เป็นตัวการที่ทำให้เราต้องมาอยู่ที่นี่ ถามว่าสนุกนักหรือที่เราต้องมานั่งบนถนน และต้องหาข้าว หาน้ำ ทานกันลำบากแบบนี้ แต่ที่พวกเรามาชุมนุม เพราะพวกเรารักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มากกว่าไอ้พวกที่บอกว่า เราทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหายวันละแสนล้านบาท”แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนไปเจอนายเทิดศักดิ์ ซึ่งพ่อเขาถูกกลุ่ม นปช.ทำร้ายจนเสียชีวิตที่ทำเนียบรัฐบาล เขาเข้ามากอดตน และยืนยันว่าจะขอสู้ต่อไป ฉะนั้นพี่น้องที่เป็นคนเชียงใหม่อย่าโกรธตน เพราะคนที่ชอบพูดว่าเห็นใจนายเทิดศักดิ์ อย่าพูดด้วยปาก ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่คนเชียงใหม่จะแสดงความกล้าหาญ โดยลุกขึ้นมาที่รวมตัวสู้กับไอ้พวกเสื้อแดงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ที่สำคัญ จ.เชียงใหม่ ไม่ใช่เมืองของโคตรเหง้าตระกูลชินวัตร แล้วถ้าพ่อแม่พี่น้องชาวเชียงใหม่ยังขี้ขลาดตาขาวอยู่อย่างนี้ ก็สมน้ำหน้าแล้วที่ตระกูลชินวัตรบอกว่า จ.เชียงใหม่ เป็นเมืองของเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยกให้เขาไปเลย
“เรามีการ์ดพันธมิตรฯ ที่เดินตรวจตราที่สถานี เอเอสทีวี อยู่ด้านนอก พอเขาเดินไป ไอ้ตำรวจเฮงซวยก็มาจับ เพราะหาว่าพกปืน ทั้งๆ ที่ตำรวจเหล่านั้นควรที่จะดักดูเรือตรงริมน้ำที่จะมาทำลายเรา ฉะนั้นผมจึงบอกกับการ์ดที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่ท่าเรือรอบ เอเอสทีวี ไปว่า ถ้าตำรวจมาขอค้นตัว ก็ให้บอกว่าไปว่า ค้นตัวได้ แต่ผมยิงนะครับ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พี่น้องพันธมิตรฯ พร้อมที่จะรับผิดชอบในคดีความให้ถึงที่สุด”นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย