“สมเกียรติ” ปลุกประชาชนลุกฮือขึ้นปกป้อง “เอเอสทีวี” เพื่อต่อต้านทรราช หลังสื่อ “เครือผู้จัดการ” ถูกสั่งล้มละลาย ลั่นยึดแนวทางแก้ “คุณภาพคน” เพื่อเดินหน้าสู่ “การเมืองใหม่” ก่อนชี้ 3 จุดตาย “รบ.สมชาย” เหตุนายกฯ ผิดวินัยร้ายแรง ฐานไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหลังขายที่ดินทอดตลาดกว่า 70 ล้าน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
วานนี้ (19 พ.ย.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล รวมทั้งแกนนำพันธมิตรฯ อมเลือด และอมทุกข์ เนื่องจากสื่อเครือผู้จัดการถูกสั่งล้มละลายอย่างแปลกประหลาดว่า ตนเป็นทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้จัดการออนไลน์นั้น เป็นสื่อที่คนเข้าไปอ่านมากที่สุด ที่สำคัญถ้าคนทั้งประเทศกว่า 15 ล้านคน ไม่มีปัญญาเอาสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ไว้ ต่างคนก็คงต้องแยกย้ายกันไป ละคงต้องยกประเทศให้เขาไปเลย
“ถ้าประชาชนกว่า 15 ล้านคน ค้ำจุณสื่อที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้ แล้วเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ดังนั้น ต่อไปนี้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีจะต้องเป็นสื่อของมหาชน และประชาชนทั้งประเทศ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ เพราะไม่รู้ว่าเอเอสทีวี ไม่รู้จะอยู่อีกนานเท่าใด เพราะพี่น้องยังไม่ค่อยสมัครรับข่าวเอสเอ็มเอสจากเอเอสทีวีมากเท่าใดนัก ส่วนพันธมิตรฯ ชลบุรี ออกปฏิทินว่าชาวชลบุรีสนับสนุนการเมืองใหม่ นั่นแสดงว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ชาวชลบุรีเล็งเห็นว่าผลสุดท้ายของการต่อสู้ที่ยั่งยืน และมั่นคงที่สุดก็คือ การเมืองใหม่ แต่ถ้าเราไม่สามารถสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาได้ ถือว่าระบบนั้นล้มเหลว”นายสมเกียรติ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ระบุว่า ขณะนี้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และอาจจะรุนแรงกว่าเมื่อปี พ.ศ.2540 ถามว่า วิกฤตของสังคมไทยที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเกิดจากวิกฤตคน คำตอบก็คือวิกฤตคน เพราะคนมันไม่มีคุณธรรม พอไปเป็นนักการเมืองก็ไปโกงชาติ แล้วยังเข่นฆ่าประชาชน จึงถือว่าเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม ไม่มียางอาย เพราะเขาเป็นรัฐบาลที่หน้าหนายิ่งกว่าเปลือกโลก
“ส่วนการแก้วิกฤตอย่างถาวรนั้นจะต้องแก้วิกฤตที่คุณภาพของคนเสียก่อน โดยมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทำการวิจัยออกมาว่า ชาวบ้านร้อยละ 30 ระบุว่า รัฐบาลโกงไม่เป็นไร แต่ขอให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าหลักศีลธรรมของชาติเสื่อมสลายไปแล้ว ดังนั้นการแก้ปัญหาคนตามหลักทฤษฎีแล้ว จะต้องฟื้นฟูระบบคุณภาพของคน โดยต้องฟื้นฟูสถาบันที่ขัดเกลาคุณธรรม และศีลธรรม แต่ประเทศเราไม่เสริมคุณภาพของคน โดยจะเห็นได้จากแหล่งเริงรมย์ซึ่งมีมากกว่าจำนวนวัดวาอาราม แต่ทุกวันนี้พระสงฆ์เล่นหวยสูงถึงร้อยละ 88 ฉะนั้นการติดอาวุธทางความคิดให้กับคน จึงเป็นงานหลักของชาติที่เร่งด่วน คือสาระของการเมืองใหม่”แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีสามารถสร้างคนให้ไม่เชื่อฟังรัฐบาลทรราชได้เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี สามารถออกอากาศไปได้ทั่วประเทศ และสามารถสร้างบุคคลไปทั่วโลก ฉะนั้น เอเอสทีวีจึงเป็นเครื่องมือเพียงชิ้นเดียวที่รวดเร็ว และทรงประสิทธิภาพมากที่สุด และการที่เอเอสทีวีจะอยู่รอด คงต้องอยู่ในอ้อมกอดของประชาชนเท่านั้น สมมติว่าเอเอสทีวีหมดทรัพยากรสนับสนุน การปราศรัยของแกนนำพันธมิตรฯ ก็คงจะไร้ความหมาย
“26 พ.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัด 3 พรรคการเมืองใหญ่ ไปพบหน้ากันก่อนจะกำหนดวันอ่านคำพิพากษา เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการยื่นเรื่องขยายเวลา เรื่องการยุบ 3 พรรคการเมือง และที่ศาลนัดให้ทั้ง 3 พรรคการเมืองมารวมกันนั้น เพื่อที่จะแจ้งให้ทราบว่าจะมีการสืบพยานกี่คน พร้อมกำหนดว่าจะอ่านคำพิพากษาวันไหน นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ทำหนังสือไปถึงกระทรวงยุติธรรม โดยระบุว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำผิดวินัยร้ายแรงในสมัยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะต้องไล่ออกราชการ หรือปลดออกจากราชการ เนื่องจากไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือคืนค่าธรรมเนียม 70 ล้านบาท กรณีการขายที่ดินทอดตลาดมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ซึ่งถือว่าผิดวินัยร้ายแรง” นายสมเกียรติ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า กรณีของนายสมชายนั้นมีคนถามว่าปัจจุบันนายสมชายไม่ได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วจะสามารถเอาผิดได้อย่างไร ตนจึงตอบไปว่า กฎหมายระบุเอาไว้ว่า หากนายสมชายพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมยังไม่ครบ 2 ปี สามารถเอาผิดย้อนหลังได้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ ป.ป.ช.ทำหนังสือไปถึงกระทรวงยุติธรรม เพราะ ป.ป.ช.ชี้ขาดไปหลายวันแล้วว่านายสมชายมีความผิด ซึ่งพอลงมติปั๊บก็จะเข้าข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการถกเถียงกันต่อไปอีกว่า ถ้าถูกไล่ออกจากราชการเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่ นายสมชายจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปโดยปริยาย
“จุดจบของรัฐบาลฆาตกรมีหลายหลุม โดยหลุมแรกคือ ล็อกซอินโฟ ซึ่งสามารถฝังได้ทั้งครอบครัว และจะมีอัตราเร่งเร็วสูงถ้า กกต.ส่งเรื่องโดยเร็ว แต่ตอนนี้ส่งเรื่องไปถึง 46 วัน แล้ว กกต.ก็ยังหาไม่เจอ ส่วนหลุมที่ 2 ก็คือ จะครบ 15 วันในวันที่ 27 พ.ย.นี้แล้ว นั่นก็คือกรณีปราสาทเขาพระวิหาร สามารถฝังคณะรัฐมนตรี 28 คน ได้ทั้งหมด เพราะมีข่าวออกมาว่า ป.ป.ช.จี้ 28 รัฐมนตรี ส่งคำชี้แจงให้ ป.ป.ช.โดยด่วน ก่อนจะชี้ขาดในวันที่ 27 พ.ย.นี้ นี่คือจุดตายจุดที่ 2 ส่วนจุดตายจุดที่ 3 คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมาธิการวุฒิสภา จำนวน 3 ชุด สรุปออกมาว่า นายสมชาย คือฆาตกรฆ่าประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียไปทั่วโลก เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็จะเรียกว่าไอ้ฆาตกร” แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ