“แกนนำพันธมิตร” เรียกร้องกองทัพอย่ายืนอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งด้านการเมือง ชี้ปัญหายกระดับเป็นเรื่องของความมั่นคงแล้ว ต้องทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเพื่อยุติปัญหาที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคง
วันนี้ (5 พ.ย.) ผู้สื่อรายงานบรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงเช้าได้เปิดถนนราชดำเนินนอก ด้านหน้าสำนักงานสหประชาชาติ และถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม เนื่องจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงใช้เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน แต่ยังไม่เปิดถนนช่วงสะพานมัฆวานฯ จนถึงด้านหน้ากองทัพภาคที่ 1 และถนนพิษณุโลกจนถึงด้านหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล นายปานเทพ พงษ์พัวพันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ แถลงข่าวแทนแกนนำพันธมิตรฯ เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯ ไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุดในข้อหาอื่นๆ ที่นอกเหนือจากข้อหากบฏ เช่น การชุมนุมกีดขวางการจราจร และบุกยึดทำเนียบรัฐบาลสถานที่ราชการ ซึ่งนายปานเทพ กล่าวว่า มติของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ต่อสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศในขณะนี้ได้พัฒนาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองยกระดับไปเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ โดยแกนนำพันธมิตรฯ ต้องการให้ทหารออกมาทำตามหน้าที่ของตนเองตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ไม่ได้เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ หรือรัฐประหาร แต่ให้รีบออกมายุติปัญหาที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงและความสงบของประเทศ
นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาทางการเมืองทหารจะต้องวางตัวเป็นกลาง แต่ปัจจุบันนี้มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาความขัดแย้งลงลึกเข้าไปมากขึ้นจนถึงการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเข้าจับกุมดำเนินคดีต่อผู้หมิ่นเหม่สถาบัน แต่กลับปล่อยให้มีขบวนการทำลายสถาบันอย่างชัดเจนและต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะที่ประชาชนและพันธมิตรฯ ซึ่งออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับถูกทำร้ายรายวันจนเสียชีวิต และบาดเจ็บ โดยไม่สามารถจับกุมคนผิดมาลงโทษได้ รวมทั้งการคุกคามสถาบันตุลาการ และทำลายกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการใช้อำนาจของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยการมีความพยายามแก้ไขมาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.3 มาฟอกผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และแก้ไขบางมาตราเพื่อผลประโยชน์นักการเมือง พร้อมกับพยายามลดโครงสร้างสถาบันองคมนตรี และสุดท้ายรัฐบาลยังไม่ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ทำให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลไทยไม่คำนึงถึงอธิปไตยเหนือดินแดนของไทย และเป็นหน้าที่ของทหารโดยตรงที่จะต้องออกมาปกป้องการเสียดินแดนของประเทศ แต่ท่าทีของทหารที่ผ่านมามีเพียงการแสดงอำนาจอย่างอ่อนในการแก้ปัญหาความมั่นคงของประเทศที่ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้สร้างขึ้นมา
“การแสดงอำนาจของทหาร ไม่ว่าจะเป็นการออกทีวีกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบต่อการกระทำเมื่อวันที่ 7 ตุลาฯ และการส่งกำลังทหารมาดูแลป้องกันหากเกิดเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งเป็นท่าทีที่อ่อนเกินไป และไม่สามารถยุติปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดกับประชาชนผู้ชุมนุมอย่างสงบโดยไม่มีอาวุธ ซึ่งคาดว่ากลุ่มอันธพาลโดยรัฐบาลอยู่เบื้องหลังจะก่อเหตุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น ดังนั้น ทหารไม่ควรอยู่ตรงกลางอีกต่อไป จะต้องมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนและเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อยุติปัญหาที่เป็นภัยต่อความสงบของประเทศเพราะการเกิดระเบิดกลางเมืองทุกวันอย่างนี้ ทหารไม่สมควรนิ่งเฉยอีกต่อไป” นายปานเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาขู่ว่าจะมีการดำเนินการร้ายแรงขึ้นเรื่อยโดยใช้ชื่อว่ากลุ่ม 47 โรนิน เป็นนักรบอิสระแทนกลุ่มนักรบพระเจ้าตากที่ถูกยุบ ในการต่อต้านพันธมิตรฯ จนถึงการสังหารแกนนำพันธมิตรฯ จะมีการเพิ่มการอารักขาแกนนำมากขึ้นหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ข่าวการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ มีมาอย่างต่อเนื่อง แต่พันธมิตรฯ ไม่มีอาวุธที่จะป้องกันตนเอง ดังนั้น เป็นหน้าที่ของทหารที่จะเข้ายุติปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดกับแกนนำและผู้ชุมนุม ซึ่ง เสธ.แดง เป็นนายทหารประจำการ แต่กลับแสดงท่าทีข่มขู่ประชาชนออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการเอาผิดทางวินัยต่อ เสธ.แดง ได้แล้ว หากปล่อยให้มาทำร้ายประชาชน ถือว่าผู้บังคับบัญชามีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้จะมีการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายไปรณรงค์เรื่องการเมืองใหม่ว่าจะมีหน้าตาอย่างไรให้แก่ประชาชนได้รับทราบ โดยจะนำสมุดปกขาวไปแจกให้ประชาชน แต่ยังไม่มีการประชุมว่าจะไปที่ไหนอย่างไร