xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : “ศาล” จะปล่อยให้ “สมัคร” หนีคดีง่ายๆ หรือ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พรุ่งนี้ (5 พ.ย.) ตี 5 นายสมัคร สุนทรเวช จะบินลัดฟ้าไปประเทศสหรัฐฯ โดยอ้างว่าไปรักษาตัวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ ถ้าเพียงแต่นายสมัครจะไม่มีคดีอะไรติดตัว ก็คงไม่แปลกที่จะเดินทางไปประเทศไหน แต่ นายสมัคร วันนี้ไม่เพียงเป็นจำเลยคดีหมิ่นประมาทที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา หากยังเป็นผู้ต้องหาสำคัญในคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิงของ กทม.ที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดในวันที่ 11 พ.ย.นี้ และคดีทุจริตรับสินบนจากบริษัทญี่ปุ่นในโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำของ กทม.สมัยที่ตัวเองเป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกต่างหาก เมื่อชนักติดหลังมากมายขนาดนี้ จะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่า นายสมัครกำลังย่ำรอย “ทักษิณ” หนีคดีไปอยู่ต่างแดน ถ้าไม่เชื่อ ลองมาจับ “พิรุธ” ของจำเลยผู้นี้ดูหน่อยเป็นไร

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ 

ขณะนี้หลายฝ่ายในสังคมหรือแม้แต่ศาลเองก็อาจไม่แน่ใจว่า นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ต้องการเดินทางไปรักษามะเร็งตับที่สหรัฐฯ จริงๆ หรือต้องการหนีคดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ที่นายสมัคร พร้อมคู่หู นายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น (เมื่อ 25 ก.ย.) ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญากันแน่ เพราะแม้คดีดังกล่าวดูเหมือนจะยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากนายสมัครอยู่ระหว่างฎีกา แต่ก็ยังไม่รู้ผลว่าศาลอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่

เพราะโดยหลักแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ระบุว่า คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยตามนั้น ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หากจะยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดซึ่งร่วมพิจารณาสำนวนคดีนั้น และเป็นเสียงข้างน้อยที่เห็นแย้ง หรือให้อัยการสูงสุดก็ได้ ลงนามรับรองเพื่อขออนุญาตฎีกา ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 221 โดยต้องยื่นฎีกาภายใน 30 วันหลังทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า กรณีของ นายสมัคร และ นายดุสิต นี้ หากจะฎีกาจริงๆ คงต้องขอให้ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยลงนามรับรองให้ ไม่น่าจะสามารถให้อัยการสูงสุดลงนามรับรองให้ได้ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีส่วนตัว คงไม่เหมาะสมแน่หากอัยการสูงสุดจะช่วยเหลือ นายสมัคร หรือ นายดุสิต เป็นการส่วนตัวด้วยการลงนามรับรองให้บุคคลทั้งสองสามารถยื่นฎีกาคดีนี้ได้

แต่ในที่สุด อะไรที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นได้ เมื่อนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ลงนามรับรองให้นายสมัครยื่นฎีกาข้อเท็จจริงคดีหมิ่น นายสามารถได้ โดยผู้ที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็คือ นายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัคร ที่ได้เดินทางไปยื่นฎีกาคดีนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 22 ต.ค.โดยบอกว่า “ได้ร่างคำฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในทุกประเด็น ทั้งในส่วนของข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดเซ็นรับรองให้ยื่นฎีกาได้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้”

ณ วันนั้น (22 ต.ค.)นายประชุม บอกว่า ไม่ทราบว่านายดุสิตยื่นฎีกาแล้วหรือยัง โดยมีเวลายื่นฎีกาถึงวันที่ 24 ต.ค.ก็จะครบกำหนด 30 วันที่สามารถยื่นฎีกาได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ (4 พ.ย.) ไม่มีข่าวว่า นายดุสิตได้ยื่นฎีกาคดีนี้หรือไม่ และขณะนี้ นายดุสิต ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หรือว่าหลบหนีคดีไปประเทศอื่นแล้ว

ส่วนการยื่นฎีกาของนายสมัคร ก็ยังไม่เห็นข่าวเช่นกันว่า ศาลจะรับฎีกาของนายสมัครไว้พิจารณาหรือไม่ ซึ่งหากรับฎีกาไว้ ขั้นตอนต่อไป ศาลก็จะสำเนาให้โจทก์ เพื่อให้ได้ฎีกาแก้ ก่อนจะมีคำพิพากษาในชั้นศาลฎีกาต่อไป แต่หากไม่รับฎีกาไว้พิจารณา ก็ถือว่าคดีนี้เป็นอันสิ้นสุด นั่นหมายถึงนายสมัครก็ต้องติดคุกทันทีเป็นเวลา 2 ปี!

นอกจากความน่าสนใจในแง่ของคดีแล้ว ขอย้อนกลับไปช่วงหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำคุกนายสมัครและนายดุสิตเป็นเวลา 2 ปีเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ซึ่งปรากฏว่า ให้หลังประมาณ 1 สัปดาห์ คือ วันที่ 2 ต.ค.ก็มีข่าวว่านายสมัครป่วยเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน เพราะมีอาการปวดท้อง โดยตอนแรกมีข่าวว่าอาหารเป็นพิษ แต่ภายหลังมีข่าวว่าเป็นมะเร็ง โดยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ต่อมาเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นๆ ว่า นายสมัครเป็นมะเร็งที่ขั้วตับ แต่เป็นไม่มาก และเริ่มมีข่าวปะปรายว่า นายสมัครจะเดินทางไปรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐฯ ขณะเดียวกันบางฝ่ายก็เคลือบแคลงว่า นายสมัครต้องการไปรักษาตัวหรือต้องการหลบหนีคดีกันแน่

ในที่สุด เรื่องดังกล่าวก็เงียบไป และมีข่าวฮอตกว่าเข้ามาแทนที่ เมื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำ นปก.และผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ได้ประกาศบนเวทีปราศรัยของ นปช.ที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 14 ต.ค.(ซึ่ง นปช.จัดงานรำลึกครบรอบ 35 ปี 14 ตุลา) ว่า รายการ “ความจริงวันนี้” จะจัดชุมนุมใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในวันที่ 1 พ.ย.นายจตุพร ยังประกาศด้วยว่า นายสมัคร สุนทรเวช ได้ตอบรับที่จะขึ้นเวทีในวันที่ 1 พ.ย.แล้ว ดังนั้น ขอให้ประชาชนที่จะไปร่วมงาน ช่วยกันนำอุปกรณ์เชียร์ที่มีเสียงดังไปเชียร์ประชาธิปไตย เพื่อให้เสียงดังไปถึงทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ การชุมนุมในวันดังกล่าว พลพรรคเสื้อแดงของ นปช.ได้มีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อยื่นถวายฎีกาให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้นายสมัครในคดีหมิ่นนายสามารถด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง นายจตุพร ประกาศว่า นายสมัครจะไปขึ้นเวที นปช.วันที่ 1 พ.ย. ปรากฏว่า ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ความไม่เหมาะสมที่นายสมัครจะไปร่วมปราศรัยในงานดังกล่าว รวมทั้งทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่า ตกลงนายสมัครแกล้งป่วยหรือไม่ เหตุใดจึงจะไปร่วมงานกับ นปช.ได้

ส่งผลให้วันต่อมา (15 ต.ค.) นายสมัคร ต้องออกมาแก้เกม อาจเป็นเพราะกลัวว่าข่าวแกล้งป่วยของตนจะส่งผลกระทบต่อการยื่นฎีกาคดีหมิ่นนายสามารถและส่งผลกระทบต่อการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษที่กลุ่ม นปช.กำลังล่ารายชื่อหรืออย่างไรไม่ทราบได้ สังคมจึงได้เห็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกรัฐบาล และอดีตแกนนำ นปก.ที่ร่วมจัดรายการ “ความจริงวันนี้” ออกมาปฏิเสธว่า ข่าวที่ว่านายสมัครจะไปขึ้นเวทีรายการความจริงวันนี้ฯ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในวันที่ 1 พ.ย.นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะ นายสมัครโทรศัพท์มาบอกตนว่า ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะมีผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ไปเยี่ยมตนที่โรงพยาบาล ตนนึกสนุกเลยบอกไปว่า หากวันนั้นแข็งแรงดีแล้ว จะไปร่วมร้องเพลงด้วยสัก 1-2 เพลง แต่เมื่อแพทย์ทราบว่าตนจะไปร่วม จึงไม่สบายใจและห่วงใย อยากให้ตนพักฟื้นมากกว่า...

2 วันต่อมา (17 ต.ค.)นายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัคร เผยกับผู้สื่อข่าวว่า อยู่ระหว่างร่างคำร้องเพื่อยื่นฎีกาคดีหมิ่นนายสามารถให้นายสมัคร พร้อมเผยว่า จากการที่ตนได้เข้าเยี่ยมนายสมัครที่โรงพยาบาล พบว่า อาการแข็งแรงดีขึ้นมาก แต่แพทย์ยังให้พักฟื้นที่โรงพยาบาล คาดว่า อีกไม่นานจะออกจากโรงพยาบาลได้

จากนั้นประมาณครึ่งเดือนต่อมา (3 พ.ย.) นายสุมิตร สุนทรเวช น้องชาย นายสมัคร ออกมาบอกว่า พี่ชายออกจากการพักรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งตับ มาพักฟื้นอยู่ที่บ้านหลายวันแล้ว แต่ตนยังไม่ได้ไปพบนายสมัคร และไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน เพราะนายสมัครอายุมากแล้ว

เมื่อฟังสุ้มเสียงทั้งของ นายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัคร รวมทั้งนายสุมิตร น้องชายนายสมัครแล้ว ดูเหมือนว่าอาการของนายสมัครก็ไม่น่าห่วงอะไรแต่อย่างใด เพราะอาการคงดีขึ้นมากแล้ว แพทย์จึงอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่กลับมีข่าวว่า นายสมัครจะเดินทางไปรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ (มีรายงานว่า จะเดินทางในเวลา 05.00น.ด้วยสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์)

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเรื่องนี้จากนายไพศาล อัคคะสารกุล เลขานุการส่วนตัวของนายสมัครที่กำลังเดินทางไปบ้านนายสมัครในวันนี้ (4 พ.ย.) แต่นายไพศาลปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดของการเดินทางไปสหรัฐฯ ของ นายสมัคร โดยบอกเพียงว่าจะเดินทางพรุ่งนี้ (5 พ.ย.) ตอนเช้า

ขณะที่นายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัคร บอกว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายสมัครในการเดินทางไปยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด

ไล่เรียงเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ เป็นใครก็คงสงสัยว่า ในเมื่ออาการของนายสมัครดีขึ้นแล้ว ทำไมยังจะต้องไปรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐฯ และทำไมถึงจะต้องรีบร้อนเดินทางไปขนาดนี้ และหากนายสมัครป่วยด้วยโรคมะเร็งตับจริง แล้วหมอหรือแพทย์ที่มีอยู่มากมายในเมืองไทยไม่มีความสามารถพอที่จะรักษานายสมัครได้เชียวหรือ?

ก่อนจะไปถึงประเด็นว่า แพทย์เมืองไทยมีความสามารถแค่ไหนในการรักษามะเร็งตับ เรามาย้อนคำพูดของนายสมัครที่เคยยืนยันเองว่า ตนเป็นมะเร็งตับจริงๆ และไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่มีอะไรน่าห่วง โดยนายสมัครได้เล่าถึงอาการป่วยของตนระหว่างที่นายกฤษณะ ไชยรัตน์ พิธีกรสถานีโทรทัศน์ช่องเนชั่น แชนแนล ซึ่งรับหน้าที่พิธีกรข่าวช่อง 3 ด้วยในวันสุดสัปดาห์ ได้เดินทางไปเยี่ยม นายสมัคร เมื่อประมาณกลางเดือน ต.ค.(ต่อไปนี้ จะขออ้างอิงข่าวจากไทยรัฐวันที่ 18 ต.ค.ซึ่งนำคำบอกเล่าของนายกฤษณะระหว่างเข้าเยี่ยมนายสมัครมาให้ได้ทราบอีกครั้งหลังเคยเป็นข่าวไปแล้ว)

นายสมัคร พูดกับ นายกฤษณะ ถึงข่าวลือที่ว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งตับขั้นสุดท้าย ขณะที่บางกระแสบอกว่าตนต้องการหนีคดีหมิ่นประมาทนายสามารถว่า “ข่าวที่ลือกันไม่รู้จะไปชี้แจงให้ใครฟัง ยืนยันผมป่วยจริง เป็นมะเร็งที่ขั้วตับ ตอนแรกก็ไม่รู้ เคยไปหาหมอตรวจ แต่หมอก็ไม่พบสาเหตุ หลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีอาการเจ็บภายในท้องตลอด จนพบว่าเป็นมะเร็งที่ขั้วตับ”

นายสมัคร เล่าต่อว่า “เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ตัดสินใจเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อย่างเป็นทางการ โดยแพทย์ได้ผ่าตัดด้วยเลเซอร์ และผลการผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดี จึงขอฝากบอกไปยังคนที่อ่านข่าว และคนที่เป็นห่วงด้วยว่า สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง การผ่าตัดเรียบร้อยดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพักฟื้น ทำกายภาพบำบัดทุกเช้า กลางวัน และเย็น ตามตารางแพทย์ที่จัดไว้ คาดว่า หลังวันที่ 25 ต.ค.นี้ แพทย์จะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”

นายสมัคร บอกด้วยว่า “ใครไม่รู้ก็คิดว่าตนอาการหนัก ความจริงไม่ถึงขนาดนั้น แพทย์ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา แต่ถ้าภายหลังมีปัญหาก็จะเชิญแพทย์จากสหรัฐฯ มาผ่าตัดให้อีกครั้ง ขณะนี้เตรียมตัวกลับบ้านไปพักฟื้น ผมอยากกลับบ้าน ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเบื่อมาก รบเร้าหมอขอกลับบ้าน แต่หมออยากให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลก่อน จึงจำใจอยู่โรงพยาบาลไปก่อน”

ได้ฟังกันชัดๆ จากปากนายสมัครแล้วว่า ตนไม่ได้ป่วยอะไรมาก แม้จะเป็นมะเร็งที่ขั้วตับ แต่ก็ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วด้วยดี ถ้ามีปัญหาภายหลัง ก็จะเชิญแพทย์จากสหรัฐฯ มาผ่าตัดให้อีกครั้ง!(แล้วทำไม ตอนนี้ถึงไม่ใช้วิธีเชิญแพทย์จากสหรัฐฯ มาอย่างที่ตัวเองได้ลั่นวาจาไว้ กลับรีบร้อนลุกลี้ลุกลนจะต้องบินไปให้ได้ขนาดนี้?)

นอกจากท่วงทำนองพิรุธดังกล่าวแล้ว ลองมาดูประเด็นที่ว่า แพทย์ไทยและเทคโนโลยีทางการแพทย์ของไทยไม่สามารถให้การรักษานายสมัครที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ขั้วตับได้เชียวหรือ? ซึ่งถ้าดูจากคำพูดของนายสมัครที่พูดกับ นายกฤษณะ พิธีกรทีวีที่เข้าเยี่ยม ก็เห็นชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่า นายสมัคร ได้รับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์จากหมอโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ไปแล้วรอบหนึ่ง และผลการผ่าตัดก็เรียบร้อยด้วยดี อยู่ระหว่างพักฟื้นเท่านั้น แล้วนายสมัครจะบินไปหาหมอที่สหรัฐฯ ให้เสียตังค์แพงๆ โดยใช่เหตุทำไม?

ถ้า นายสมัคร ไม่เชื่อว่า แพทย์ไทยมีความสามารถรักษามะเร็งที่ขั้วตับได้ไม่แพ้ประเทศใดในโลก ก็จะขอยกบทความที่ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ศัลยแพทย์ตับอ่อนและทางเดินน้ำดี ที่เคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2551 มายืนยันกับ นายสมัคร อีกครั้ง แต่เนื่องจากบทความของ นพ.วีรวุฒิ ค่อนข้างยาว เพราะมุ่งให้ความรู้ผู้อ่านในแง่ที่ว่า “มะเร็งขั้วตับ เป็นยังไง มายังไง” ดังนั้นจะขออนุญาตยกบทความมาเพียงบางช่วงบางตอน ซึ่งช่วงเวลาที่ นพ.วีรวุฒิ เขียนบทความนี้น่าจะเป็นช่วงที่มีข่าวลือว่า นายสมัครจะหนีคดีหมิ่นประมาทด้วยการไปรักษาตัวที่สหรัฐฯ

นพ.วีรวุฒิ จึงเกริ่นเข้าบทความว่า “มะเร็งขั้วตับกำลังเป็นที่สนใจของสังคม หลายคนเกิดความสงสัยและตั้งคำถามถึงเจ้ามะเร็งชนิดนี้กันมากว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่ค่อยคุ้นหูกับโรคมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่มักได้ยินแต่มะเร็งตับ...”

“...ถ้าจะแบ่งตำแหน่งของก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นที่ตับ ให้เข้าใจและเห็นภาพได้ง่ายขึ้น อาจแบ่งเป็น 3 ตำแหน่งหลัก คือ ที่ผิวตับ ในเนื้อตับ และตำแหน่งที่เรากำลังสนใจอยู่ตอนนี้คือ ที่ขั้วตับ...ก่อนอื่นอยากให้ผู้อ่านลองหลับตานึกภาพตับที่อยู่ใต้ชายโครงขวาทอดตัวขวางมาถึงตรงกลางใต้ลิ้นปี่ บริเวณพื้นผิวด้านล่างช่วงกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่กับชายโครงขวาเป็นจุดที่เรียกว่าขั้วตับ…”

“...อาการที่ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ ส่วนใหญ่เป็นอาการตัวเหลืองตาเหลือง อาการปวดท้อง ซึ่งเป็นอาการหลักของมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี มากกว่าอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งเป็นอาหารหลักของมะเร็งเซลล์ตับ...”

“...การรักษามะเร็งขั้วตับที่เป็นที่ยอมรับว่าให้ผลการรักษาดีที่สุดคือ การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อรวมถึงเนื้อเยื่อปกติโดยรอบออก เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน มะเร็งขั้วตับถูกจัดเป็นโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้ เนื่องจากผู้ป่วยมักเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัดหรือหลังผ่าตัดไม่นาน เนื่องจากเสียเลือดจำนวนมาก ในระยะหลัง เมื่อความรู้ทางกายวิภาคของบริเวณขั้วตับดีขึ้นและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับการพัฒนามากขึ้น ทำให้การผ่าตัดบริเวณขั้วตับมีความปลอดภัยมากขึ้น...”

“...ก่อนจาก อยากกล่าวถึงศักยภาพด้านการรักษามะเร็งตับของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ความรู้ความสามารถของแพทย์และทีมงาน การฉายรังสี การใช้ยาเคมีบำบัด การใช้คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ การผ่าตัดมะเร็ง การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ผู้ป่วยคงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปรักษาตัวในต่างประเทศ เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุผลอื่นร่วมด้วย”

ขอย้ำคำพูดของ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ศัลยแพทย์ตับอ่อนและทางเดินน้ำดี อีกครั้งหนึ่งว่า “การผ่าตัดมะเร็ง การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ผู้ป่วยคงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปรักษาตัวในต่างประเทศ เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุผลอื่นร่วมด้วย

คงไม่ต้องขยายความคำว่า “เหตุผลอื่น”ของ นายสมัคร ให้มากความกันอีกต่อไป เพราะ นายสมัคร ย่อมรู้แก่ใจดีว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของตัวเองนั้น ต้องการรีบบินไปสหรัฐฯ เพื่อรักษาตัวหรือหลบหนีคดีกันแน่ ...ว่าแต่ ศาลจะยอมให้นายสมัครหนีไปง่ายๆ ซ้ำรอย “ทักษิณ-พจมาน”อย่างนี้นะหรือ?

สมัคร เคยอุทธรณ์ให้ศาลรอการลงโทษ ด้วยการอ้างว่าทำคุณงามความดีมาตลอดจนอายุ 72 และได้เครื่องราชฯ เกือบชั้นสูงสุด แต่เหตุผลฟังไม่ขึ้น เพราะนายสมัครหมิ่นซ้ำซาก 4 คดีแล้ว
ดุสิต ศิริวรรณ เพื่อนคู่หูที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปีเช่นกันคดีหมิ่นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
กำลังโหลดความคิดเห็น