“สุริยะใส” เตือน ส.ส.พปช.ไม่บังควรล่าชื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ “แม้ว” เหตุยังไม่สำนึก แถมกล่าวหากระบวนการยุติธรรม ชี้ ควรล่าชื่อกดดันให้สารภาพผิด เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีจะเหมาะกว่า จี้ “สมชาย-กรมกร๊วก” แสดงความรับผิดชอบ ระบุ โฟนอิน “ทักษิณ” ปลุกเร้ามวลชน สร้างเงื่อนไขรัฐประหาร ตามความต้องการของกลุ่มเสื้อแดงเอง
วันนี้ (3 พ.ย.) เวลา 18.30 น.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวถึงกรณี ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้เตรียมล่ารายชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับผิดและไม่สำนึก แถมยังกล่าวหากระบวนการยุติธรรม ว่า ไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย ดังนั้น ส.ส.พรรคพลังประชาชน น่าจะเข้าชื่อเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สารภาพผิดและรับผิดตามคำพิพากษาของศาลจะดีกว่า เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองและคนในสังคมว่าต้องเคารพกฎหมาย เพราะถ้ายังดื้อดึงจะกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อตนเองฝ่ายเดียว
ส่วนกรณีที่จะมีการนำเทปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้โฟนอินเข้ามาในความจริงวันนี้มาฉายซ้ำนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า เป็นการไม่เหมาะสม เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดศาล รวมทั้งพาดพิงสถาบันในลักษณะสองแง่สองง่าม ประชาชนที่ได้ฟังอาจเข้าใจผิด ดังนั้น คงต้องถามความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และหากพรรคพลังประชาชนยังเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ก็จะยิ่งทำให้สังคมขัดแย้งแตกแยกต่อไป จนอาจทำให้กองทัพต้องตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้
ทั้งนี้ การที่กองทัพบอกว่า ยังไม่ได้ตรวจสอบการโฟนอินนั้น ท่าทีของกองทัพแบบนี้คงต้องมีการทบทวนใหม่เพราะถ้าหากกองทัพ ยังไม่หยุดการใช้อำนาจโดยมิชอบ บ้านเมืองจะยิ่งแตกแยก และหากปล่อยให้ฉายซ้ำการโฟนอิน สื่อของรัฐและรับรองโดยรัฐบาล ยิ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ กองทัพคงต้องทบทวนท่าที
นอกจากนี้ นายสุริยะใส กล่าวว่า ตนทราบว่า ในช่วงกลางสัปดาห์ อาจจะมีการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าสู่สภานั้น ทางเราจะมีการหารือกับแกนนำ เพราะว่าการต่อต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นจุดมุ่งหมายเดิมของเรา จึงต้องมีการกำหนดท่าทีของการเคลื่อนไหวด้วย
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ว่า พันธมิตรฯอาจจะทำการปิดล้อมสภาอีก ผู้ประสานงานพันธมิตร กล่าวว่าเป็นไปได้ทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าถ้าคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยุติแล้ว จึงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ใช่หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า เรื่องการแก้ไขนั้นเราไม่ได้ค้านหัวชนฝา แต่การแก้ในขณะนี้ไม่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง แต่จะกลายเป็นระเบิดลูกใหม่ ดังนั้น ควรจะเลื่อนไปก่อน เพราะคดีของทักษิณ ซึ่งอยู่ในศาลขณะนี้น่าจะไม่เกิน 6 เดือนก็คงจะได้ข้อยุติในรูปคดีจากนั้นค่อยแก้จะดีกว่า
ส่วนการแสดงพลังของกลุ่ม นปช.ที่อาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นมา มองว่า กองทัพจะกล้ายึดอำนาจอีกหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า คงขึ้นอยู่กับการประเมินของกองทัพ แต่การแสดงพลังของเสื้อแดงในวันนี้ เช่น เชียงใหม่ ที่บุกไทยพีบีเอส เป็นการปลุกเร้ามวลชน มากกว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นสั่งโดยตรงจากคนจากลอนดอนก็เป็นได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่กองทัพ อาจจะประเมินสถานการณ์ใหม่ น่าแปลกใจที่ใครหลายคน เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง กลับไปเห็นดีเห็นงาม แทนที่จะคัดค้าน และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว รวมทั้งในคนในรัฐบาล ไปเห็นดีเห็นงามกับคำปราศรัยโฟนอิน ตรงนี้จะทำให้ทุกอย่างยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งเรียกได้ว่าเงื่อนไขของการรัฐประหารวันนี้ได้เกิดขึ้นแล้วและคนที่อยากให้เกิด ก็คือกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช่พันธมิตรฯ
เมื่อถามว่า จะต้องเปลี่ยนวิธีการกดดันรัฐบาลใหม่หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า เราจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการตั้ง ส.ส.ร.3 เพราะเงื่อนไขความแตกแยกอยู่ที่ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ดังนั้น การเเก้ รธน.จึงไม่ใช่ทางออกตรงกันข้ามกลับมีวาระซ้อนเร้น และไม่นำไปสู่การเมืองใหม่ เนื่องจากรัฐบาลยังคงมุ่งสร้างปมใหม่ตลอดเวลา จึงเป็นไปได้ที่เราอาจจะต้องต่อต้านต่อในอนาคต เราจะทำให้สังคมเห็นถึงความจำเป็น ที่ต้องข้ามการเมืองเก่าไปสู่การเมืองใหม่ โดย กระตุ้นให้สังคมเห็นพ้องกันเสียก่อน
เมื่อถามว่า หากมีการบุกล้อมสภาอีกครั้งอาจจะมีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก นายสุริยะใส กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะปิดล้อมสภาแน่นอนเพียงแต่มีความเป็นไปได้ จะต้องหารือกันก่อนเพราะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.เป็นบทเรียน ซึ่งเราต้องนำมาสรุปเสียก่อนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก โดยคาดว่าจะมีการหารือกับแกนนำ 1-2 วันนี้
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ทางพันธมิตรฯ พร้อมเจรจากับทางรัฐบาลที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการประสานมา ดังนั้น เรื่องของตัวแทนฝั่งเราก็คงต้องรอให้รัฐบาลประสานมาก่อน
เมื่อถามอีกว่า กรณีที่กลุ่ม นปช.มีการแสดงออกที่ไม่เห็นด้วยกับสื่อมวลชนนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่ถ้าเกินเลยก็ต้องรับผิดชอบ และหากมีคนเปรียบเทียบว่า พันธมิตรฯบุกเอ็นบีที ทาง นปช.ก็บุกไทยพีบีเอสได้เหมือนกันนั้นไม่ถูกต้อง เพราะไทยพีบีเอสเป็นสื่อของรัฐ หากเรื่องที่เสนอไปไม่เป็นความจริงก็ต้องไปร้องเรียนผู้บริหารแต่เท่าที่เห็นก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ตนเข้าใจว่า สื่อเองก็ลำบากในการรายงาน แต่จุดยืนในการแสดงออกของบุคคลต้องอยู่ในขอบเขต หากเกินเลยก็ต้องรับผิดชอบ