แกนนำพันธมิตรฯ ประณาม “สมชาย” วางเฉยปล่อย “นักโทษแม้ว” โฟนอินกลางฝูงชน เปิดทางใช้สื่อรัฐเป็นกระบอกเสียง ดึงสถาบันเบื้องสูง-ดิสเครดิตศาล แฉแผน “แม้ว” ขอถวายฎีกา-อภัยโทษ จี้จริยธรรมแสดงความรับชอบคลิปฉาวสะท้านเมือง
วันนี้ (2 พ.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวประจำวันที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พันธมิตรฯ เห็นด้วยกับแนวคิดเจรจาหาข้อยุติตามที่กลุ่มสานเสวนาเสนอ แต่ต้องเป็นการหารือเฉพาะฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ ระหว่างรัฐบาลและพันธมิตรฯ เท่านั้น หากนำเอากลุ่มอื่นเช่นทหาร ตำรวจ นักวิชาการ มาเจรจาด้วยจะเสียเวลาเปล่าๆ ส่วนตัวบุคคลที่จะเป็นผู้มาเจรจาพันธมิตรฯ ไม่เกี่ยงว่าเป็นใคร เราพร้อมรับการเจรจาทั้งนั้น แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ติดต่อขอเจรจาจากลุ่มใดทั้งสิ้น ส่วนแนวทางที่พันธมิตรจะยึดเป็นกรอบการเจรจาจะรอจนกว่ามีการประสานขอเจรจาเข้ามาจากนั้นแกนนำจะหารือเพื่อกำหนดแนวทางต่อไป
ด้าน นายพิภพ กล่าวถึงการจัดรายการความจริงวันนี้สัญจรว่า พันธมิตรฯ ขอประณามนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี กลับหนีไป จ.เชียงใหม่ ไม่ทำหน้าที่อยู่ในเมืองหลวง ถือว่าขาดความรับผิดชอบในการบริหารบ้านเมือง ทั้งๆ ที่มีเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ด้วยการรวมพลคนเสื้อแดงและการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการใช้คลื่นความถี่ที่รัฐเป็นเจ้าของ พันธมิตรฯ ขอประณามว่านายกรัฐมนตรีขาดความรับผิดชอบที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุข โดยปล่อยให้คนที่เป็นนักโทษหนีหมายศาลโฟนอินโดยใช้คลื่นความถี่ที่รัฐดูแลอยู่พูดกับประชาชนในที่สาธารณะ
“เมื่อวานนี้เป็นเครื่องสะท้อนการทำหน้าที่ของนายกฯ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษชาย ไม่มีสิทธิที่จะพูดในที่สาธารณะ และคำพูดจ้องทำลายความเป็นธรรมของสถาบันตุลาการ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างว่าเขามีความชอบธรรม แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามทำให้เกิดปัญหา ทำให้ประชาชนสงสัยในคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในการโฟนอินมีการดึงเอาสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วย เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าจะกลับมาประเทศไทยได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพระบารมีฯ การพูดเช่นนี้เป็นการทำให้เกิดความเสียหาย ต่อกระบวนการยุติธรรม และ เป็นการดึงเอาสถาบันมาเกี่ยวกับคดีความของตนซึ่งตัดสินไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสกับตุลาการว่าประเทศไทยมีปัญหาวิกฤตที่สุดในโลก ควรใช้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาแก้ปัญหาซึ่งถือว่ามีความชัดเจน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับหนีคดี แม้ศาลให้โอกาสมาต่อสู้ตามกระบวนการแล้วก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ประชาชนชาวรากหญ้าหลงเชื่อ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
ดังนั้น ถ้าสังคมยังคล้อยตามในคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะก่อให้เกิดความแตกแยกทางสังคมในระดับลึกอย่างแน่นอน ดังนั้น พันธมิตรฯ เชื่อว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโฟนอินกับคนเสื้อแดงมีเจตนาที่จะกดดันให้มีการรวมตัวกันเพื่อถวายฎีกาขอให้มีการอภัยโทษ ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการนำปัญหาส่วนตัวไปให้สถาบัน
เมื่อถามว่า แกนนำฯ ประเมินสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวกับผู้ชุมนุมว่ามีท่าทีที่จะถอยหรือสู้ต่อ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเมื่อใดก็ได้ ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วก็กลับมาสู้คดีที่เมืองไทยได้เลยไม่ต้องอาศัยพระบารมีฯ เพราะศาลได้ตัดสินไปภายใต้พระปรมาภิไธยอยู่แล้ว ด้านนายพิภพ กล่าวเสริมว่า เมื่อประเมินตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงเมื่อวานนี้ เชื่อว่าอดีตนายกรัฐมนตรียังไม่ยุติการต่อสู้ โดยยังคงดำเนินการตามแนวทางที่จะทำให้พ้นผิดจะทำอย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการจ้างวานผ่านหัวคะแนนเพื่อให้กลุ่มรากหญ้าออกมาชุมนุม
“รัฐบาลซึ่งเป็นรัฐบาลตัวแทนยังเคลื่อนไปโดยอาศัยความได้เปรียบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อไม่ให้มีมาตราเกี่ยวกับความผิดปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งจะนำไปสู่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน และยังอาศัยความได้เปรียบในการซื้อเสียงเพื่อมากุมอำนาจ นี่คือการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ ยังกล่าวเรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความชัดเจนกรณีที่มีภาพบุคคลที่มีหน้าตาคล้ายนายกรัฐมนตรี พาผู้หญิงไปรับประทานอาหาร โดยกลุ่มเด็กและสิทธิสตรี ขอให้นายกฯ ออกมาปฏิเสธหรือยอมรับ อย่าปล่อยให้เกิดความคลุมเครือ เพราะหากเป็นเรื่องจริงก็จะกระทบต่อความซื่อสัตย์ของครอบครัว จะทำให้ความซื่อสัตย์ในการบริหารประเทศหมดไป ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องออกมาพูดเพียงว่าจริงหรือเท็จ เพราะนายกรัฐมนตรีต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมสูงกว่าคนปกติ ไม่ใช่คนธรรมดาหรือหัวหน้าครอบครัวธรรมดา