xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ชี้ “ทักษิณ” ดิ้นเหมือนคนบ้า-วาระสุดท้ายกำลังมาถึง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
“สนธิ” ย้ำความดีต้องชนะความชั่ว ชี้ เวลานี้ “ทักษิณ” กำลังทุกข์ทรมานอย่างหนักเหมือนคนบ้า เพราะจิตใจเคียดแค้นต้องการทำลายทุกอย่าง และกำลังดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเชิงตะกอน ทำทุกทางแม้กระทั่งออกใบปลิวเอกสาร ซีดีบิดเบือนทำลายศาล

วันนี้ (29 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.00 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยก่อนหน้านี้ เขาได้จุดธูป 18 ดอก ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในทำเนียบ แต่ไม่เปิดเผยว่า ได้บวงสรวงอะไรบ้าง บอกแต่เพียงว่าสิ่งที่เคยถูกปกปิดด้วยความชั่วเอาไว้ ก็จะเริ่มถูกเปิดเผยออกมา

นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ซึ่งในแต่ละจังหวัด แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นของไทยก็มีศาลเจ้าพ่อหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกต เสด็จพ่อ ร.5 เป็นต้น และที่ผ่านมาหลายปีมานี้แสงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ถูกบดบังไปหมด

อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกสีสันหนึ่งในการกู้ชาติครั้งนี้ ถ้าใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ และว่า สำหรับตัวเองเคยร่ำเรียนเมืองนอกมาหลายปี เล่นอินเทอร์เน็ตทุกวัน รวมทั้งเคยบวชเรียน เชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และทำดีก็ต้องได้ดี ทำดีไม่เคยได้ชั่ว และว่าคำสอนของทุกศาสนาล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นถ้าเราปฏิบัติตาม

นายสนธิ กล่าวว่า เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังทุกข์ทรมาน แม้มีเงินเป็นแสนๆ ล้าน แต่กินไม่ได้นอนไม่หลับ เหมือนคนบ้า เพราะกำลังเคียดแค้นต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง

นายสนธิ กล่าวว่า เวลานี้กำลังมีวิชามาร มีการแจกหนังสือชื่อว่า "อวสานกระบวนการยุติธรรมไทย" และซีดีบิดเบือนเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ใส่ร้ายว่า พันธมิตรฯ ฆ่าตำรวจ และทำลายกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคนที่ทำซีดีดังกล่าว คือ นายพลตำรวจเอกคนหนึ่งที่หน้าเหมือนผีนั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกมันกำลังแพ้ ต้องปั้นน้ำเป็นตัว เพราะขนาดมีสื่อของรัฐ เช่น เอ็นบีที และฟรีทีวีที่ไม่เข้าข้างำนธมิตรฯ ก็ยังไม่ได้ผล คนก็ยังหันมาเชื่อเรามากขึ้นๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นเชิงตะกอน

นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างบางข้อความที่บิดเบือน เช่น “ทำกับข้าวแล้วถูกปลดเป็นกบฏถูกปล่อย” ทั้งที่กรณีของนายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำกับข้าวออกโทรทัศน์และรับเงินค่าจ้าง ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาความผิด เพราะกระทำผิดกฎหมาย มีผลประโยชน์ขัดกัน เมื่อทำผิดก็ต้องปลด เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ขณะที่การเพิกถอนข้อหากบฏกับแกนนำพันธมิตรฯ นั้น รู้กันอยู่แล้วว่าถูกตำรวจกลั่นแกล้ง แจ้งข้อหาโดยไม่ชอบ ศาลอุทธณ์ตัดสินแล้วว่าการตั้งข้อกบฏเป็นข้อหาที่เลื่อนลอยจึงให้เพิกถอน

“เนื้อหาในหนังสือและซีดีเหล่านั้น แต่ละข้อที่อ้างอิงล้วนโกหกอย่างหน้าด้านที่สุด ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้ ทั้งบิดเบือนใส่ความ เพื่อให้คนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลได้เชื่อถือเท่านั้น” นายสนธิ ระบุ และได้กล่าวถึงเอแบคโพลที่ออกมา 3 เรื่องออกมา ว่า 42 เปอร์เซ็นต์ อยากให้พันธมิตรฯ จับมือกับ นปช. 26 เปอร์เซ็นต์อยากให้นายสนธิ จับมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ 92 เปอร์เซ็นต์ อยากให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ซึ่งในที่สุดก็ขัดแย้งกันเอง เพราะถ้าอยากให้กฎหมายเป็นกฎหมายจะให้ตนไปจับมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือให้พันธมิตรฯ ไปจับมือกับ นปช.ได้อย่างไร

นอกจากนี้ ในหนังสือที่ชื่อ"อวสานในกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น ยังมีบทความที่ใช้ชื่อว่าจดหมายเปิดผนึกจากเสรีไทยในศตวรรษที่ 21 บอวก่า กรณีซื้อที่ดินรัชดาฯ ก็อ้างว่าเขาไม่ได้ทุจริต เพราะผู้ขายมีสิทธิขาย ผู้ซื้อมีสิทธิซื้อ ซึ่งเขียนแบบนี้เหมือนเขียนให้ควายอ่าน และยังหาว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง แล้วสุนัขตัวไหนเอาขนม 2 ล้านไปให้ศาล และทนายที่ถูกจำคุกเป้นทนายของใคร ก็ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ นายอุร หวังอ้อมกลาง ตุลาการรัฐธรรมนูญคดีซุกหุ้น ยังเคยให้การต่อศาลว่าทักษิณส่งน้องสาวไปขอเสียง 1 เสียงเพื่อแลกกับการย้ายลูกชายไปทำงานในที่ดีๆ

ที่อ้างว่า ผู้ซื้อมีสิทธิซื้อ ผู้ขายมีสิทธิขายนั้นก็ถูก แต่ที่ผิดเพราะ มาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช.ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคู่สมรสทำสัญญากับรัฐ เพราะจะทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน จึงพิพากษาให้ผิด แต่เขาเอาไปพูดแค่ว่า แค่ซื้อที่ดินก็ติดคุก เท่ากับพูดความจริงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 90 เปอร์เซ็นต์ไม่พูดถึง

นอกจากนั้นยังเอาอาชญากรที่ศาลพิพากษาติดคุก 2 ปี อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเปรียบเทียบกับ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (รัฐบุรุษอาวุโสและอดีตนายกรัฐมนตรี) และ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ) ที่ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งกล้าบังอาจเอาไปเปรียบเทียบได้อย่างไร แต่ก็อยากถามคน 2 คน คือนายใจ อึ๊งภากรณ์ และนายศุขปรีดา พนมยงค์ ที่เป้นกองเชียร์ทักษิณ อยากถาม 2 คนนี้ว่า ทักษิณมีคุณค่ามากพอที่จะไปเทียบเคียงพ่อของพวกเขาหรือเปล่า

นอกจากนี้ ยังอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปแก้ปัญหาความยากจนที่อำเภออาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และประกาศจะให้คนไทยทุกคนหายจากความยากจนในปี 2549 แต่วันนี้ อำเภออาจสามารถก็ยังยากจนเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่ทักษิณออกมาและกลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า นอกจากนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังมีผลสำรวจว่าปี 2549 คนไทยมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มจาก 104,571 บาทในปี 2547 มาเป็น 126,585 บาทในปี 2549 หรือเพิ่มกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2545 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มเข้ามาบริหารแล้ว หนี้เพิ่มกว่า 22 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกันยังโกหกว่า การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.49 เป็นโมฆะเพราะหันหลังออกไม่ใช่หันหลังเข้า ซึ่งเป็นการบิดเบือน ไม่เอาความจริงมาเล่าว่า เป้ฯโมฆะเพราะ กกต.ไม่ให้ความยุติธรรมในการกำหนดวันเลือกตั้งเพื่อให้ประโยชน์กับพรรคไทยรักไทย และมีพรรคการเมืองส่งเลือกตั้งพรรคเดียวที่เหลือเป็นพรรตัวแทน

ยังบิดเบือนเรื่องเอเอสทีวี กล่าวหาว่า ได้รับการคุ้มครองจากศาลปกครองนานเกินไปตั้ง 3 ปีมาแล้ว เป็นศาลเดียวที่ให้ความคุ้มครองคนทำผิดกฎหมายให้ทำผิต่อไป ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วเรื่องเกิดมาจากการที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณพยายามปิดเอเอสทีวีแต่หากฎหมายมาปิดไม่ได้จึงสั่งให้การสื่อสารระงับบริการอินเทอร์เน็ตในการส่งสัญญาณไปยิงขึ้นดาวเทียมในต่างประเทศ เอเอสทีวีจึงฟ้องและศาลปกครองได้สั่งคุ้มครองก่อนที่จะสั่งให้เราออกอากาศได้ภายใน 7 เดือนหลังจากศาลสั่งคุ้มเครองเมื่อ 31 มกราคม 2551 แล้วยังมาบอกว่านานถึง 3 ปี

นายสนธิกล่าวอีกว่า หนังสือดังกล่าวยังเลวทรามบัดซบ ที่เขียนว่าพันธมิตรฯ เอาคนขาด้วนมาทาสีแดงเพื่อกล่าวหาตำรวจ ซึ่งถ้าคนเขียนตาไม่บอดน่าจะเห็นหนังสือล้านกว่าเล่มที่ พันธมิตรฯ แจก ถ้าได้ดูภาพก็จะเห็นว่าคุณธัญญาที่นั่งขาขาดอยู่นั้นขาด้วนมาก่อนจริงหรือเปล่า และอยากให้ไปดูที่โรงพยาบาลวชิระที่เขายังนอนอยู่ในห้องไอซียู

นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ไม่เคลื่อนไหวด้วยวิธีอหิงสาเพราะมีการสะสมไม้เบสบอลและไม้กอล์ฟไว้จำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงไม้เหล่านั้นเราเอาไว้ป้องกันตัวเองเพราะตำรวจไม่ป้องกันเราจาก นปก. แล้วที่พวก นปก.ถืออีดาบมา ทำไมไม่พูดถึงบ้าง

"เห็นหรือยังพี่น้อง มันจงใจทำหนังสือเล่มหนี้กับซีดีโกหกหน้าด้านๆ และบัดซบที่สุด เพราะว่าพวกมันใกล้จะขึ้นเชิงตะกอนและถูกเผาอยู่แล้ว"นายสนธิกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น