“พิภพ” ปลุก “พันธมิตรฯ” เคลื่อนทัพไป สตช. 13 ต.ค.นี้ โดยสันติวิธี แฉฝ่าย “แม้ว” เตรียมระดมกำลังใช้ความรุนแรงก่อนถึงวันตัดสินชี้ชะตา “แม้ว” พร้อมเตือน “กองทัพ” ต้องช่วยปกป้อง ปชช.จาก “ทรราช-รัฐตำรวจ” หากไม่อยากถูกสังคมกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับ “นายกฯ ฆาตกร”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วันนี้ (11 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.10 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวชี้แจงถึงเงินที่แนวร่วมพันธมิตรฯ บริจาคช่วยเหลือผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจากกรณีที่ตำรวจใช้อาวุธหนักสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เมื่อวันศุกร์ได้ไปเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยแยกออกเป็น 2 บัญชีคือ บัญชีช่วยเหลือผู้เสียชีวิต และบัญชีช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งสิ้น 5,885,321 บาท โดยพ่อของน้องโบว์ จะไม่รับเงินบริจาคจากพันธมิตรฯ จำนวน 100,000 บาท ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะนำเงินดังกล่าวไปตั้งมูลนิธิตามอุดมคติของน้องโบว์ คือ รักในหลวง รักประชาชน เกลียดคอร์รัปชั่น และต้องการให้การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง
“วันจันทร์นี้ เราจะเริ่มจ่ายเช็คตามมติของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ โดยเบื้องต้นจะจ่ายให้กับญาติของผู้เสียชีวิตรายละ 100,000 บาท และถ้าได้รับการบริจาคเงินเพิ่ม ก็จะจ่ายเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่มีผู้บริจาคเข้ามา สำหรับผู้ที่สูญเสียอวัยวะ เราจะจ่ายให้รายละ 80,000 บาท ส่วนผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยเราจะจ่ายให้รายละ 5,000 บาท และถ้าใครไม่สะดวกที่จะมารับเงินที่ผม ก็ให้ไปรับเงินที่กองทัพธรรม โดยเราจะให้เงินออกไปโดยเร็วที่สุด” นายพิภพ ระบุ
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ตนได้ส่งทีมไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ และสิ่งที่ได้รับการบอกเล่าจากคนที่ยืนอยู่กับผู้บาดเจ็บ โดยเขาถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลอดภัยใช่หรือไม่ นี่คือน้ำใจของผู้ที่บาดเจ็บขาขาด แขนขาด และเขายังถามอีกว่าพันธมิตรฯ ปลอดภัยหรือไม่ ส่วนคำถามสุดท้ายคือ พันธมิตรฯ จะสู้ต่อไปหรือไม่ ซึ่งนี่คือคำสัญญาที่เราจะให้กับผู้บาดเจ็บว่า เราจะสู้จนถึงที่สุดจนกว่าเราจะได้รับชัยชนะ
ในวันที่ 13 นี้ เราจะยังคงใช้ความมีวินัยในการเคลื่อนขบวนของพันธมิตรฯ ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สำคัญวันนี้คือการรบเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนการชุมนุมในครั้งนี้ไม่ใช่การชุมนุมปกติ แต่เป็นสถานการณ์สู้รบ โดยเราจะต้องสู้ไปจนถึงวันที่ 21 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดแล้วติดคุก ส่วนแนวร่วมของเราได้ข่าวมาว่า ฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้ความรุนแรงมาโต้ตอบเราก่อนถึงวันที่ 21 ต.ค. แต่พันธมิตรฯ ยืนยันจะเดินหน้าต่อสู้โดยสงบ และสันติ โดยเราจะเปลี่ยนแนวร่วมที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุม ขอให้เป็นทัพหนุน และทัพหลัง ส่วนพันธมิตรฯ จะเป็นทัพหน้าเอง
“สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ กดดันรัฐบาล กดดันกองทัพ และกดดันตำรวจ อย่าให้ใช้ความรุนแรงกับเรา โดยเฉพาะในขณะที่เราเคลื่อนทัพไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาจะต้องดูแลเรา โดยอย่าใช้ความรุนแรงกับเรา และต้องไม่ให้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ มาใช้ความรุนแรงกับเราอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เขารับปากว่า เขาจะช่วยหนุน และช่วยเสริมเมื่อเราเพลี่ยงพล้ำ ฉะนั้นขออย่าออกมาให้สัมภาษณ์ หรือมีกิจกรรมเพื่อบั่นทอนพันธมิตรฯ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้น เราจะตอบโต้ทันที เพราะขณะนี้ไม่ใช่ภาวะปกติที่เราไม่สามารถยอมได้อีกต่อไป” แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องออกไป และคนที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกนำตัวขึ้นศาล เพื่อให้ศาลลงโทษจำคุก โดยเฉพาะกรณีฆ่าคนตาย จะต้องติดคุกตลอดชีวิต ฉะนั้นขอให้พี่น้องพันธมิตรฯ ออกมาร่วมชุมนุมเหมือนวันที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ระบุว่าจะใช้กำลังสลายการชุมนุม นั่นก็คือ เราจะต้องส่งแรงกดดันทางสังคมไปสู่กองทัพ รวมทั้งตำรวจ และข้าราชการที่ดี ซึ่งเขาจะต้องดูแล และคุ้มครองกองทัพของพันธมิตรฯ โดยไม่ให้ตำรวจเลวใช้กำลังกับเรา
“ถ้าสังคมนี้ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการต่อสู้กับรัฐบาลในเรื่องสันติวิธี หรือขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการต่อสู้กับการฉ้อโกง และใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรม สังคมนี้ก็จะปฏิเสธสันติวิธี และปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม จะทำให้ความรุนแรงแผ่ไปทั่ว เหมือนสถานการณ์ใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ และตะวันออกกลาง ฉะนั้นถ้าเราไม่ต้องการให้สังคมนี้หมดความเชื่อในสันติวิธี และหลักธรรมในพุทธศาสนา เราจะต้องร่วมกันเป็นกองทัพ เพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ” นายพิภพ ระบุ
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ก่อนถึงวันที่ 21 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันตัดสินคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยหลักฐานมีมากเพียงพอที่จะเอาผิด ที่สำคัญเรามีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเดินไปพร้อมๆ กับการเคลื่อนทัพของพันธมิตรฯ นั่นคือ ถ้าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก เพราะถ้ามีความยุติธรรมเกิดขึ้น ประชาชนก็จะไม่หวั่นไหว และจะอยู่กันได้อย่างสงบ และสันติ แต่ถ้าความยุติธรรมมีความล่าช้า สังคมก็ไม่อาจอยู่ได้โดยอาศัยกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ตนจึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. และอัยการสูงสุด จะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว เพราะถ้าเกิดความล่าช้า คนที่จะขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ก็จะใช้ความรุนแรง
“เรายืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ถ้าฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายนายเนวิน ฝ่ายตำรวจชั่ว หรือฝ่ายพรรคพลังประชาชน เอากลไกรัฐตำรวจมาทำความรุนแรงกับเรา ทั้งๆ ที่เราชุมนุมอย่างสันติมากว่า 100 วัน ผมจึงไม่รับรองว่าจะยับยั้งสันติวิธีไว้ได้หรือไม่ ดังนั้น ผบ.ทบ. ผบ.ทอ. และ ผบ.ทร. อย่าพร่ำบอกว่าไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะยับยั้งตำรวจไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ท่านต้องก้าวพ้นกฎหมาย เพราะชีวิตของประชาชนมีค่าที่จะต้องรักษาเอาไว้ ไม่เช่นนั้น ท่านก็จะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการใช้ความรุนแรงร่วมกับรัฐตำรวจ และนายกฯ ฆาตกร ฉะนั้น ท่านต้องปฏิบัติการยับยั้งความรุนแรง แต่ต้องไม่มายับยั้งการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ” นายพิภพ กล่าว