“ไกรศักดิ์” เตือน “รัฐบาล” แสดงท่าทีชัดเจนหลัง ตร.จับ “แกนนำพันธมิตรฯ” ติงไม่ใช่เจรจาไปทุบไป หวั่นสถานการณ์บานปลายซ้ำรอย “พฤษภาทมิฬ” จนนำไปสู่ความรุนแรง เชื่อ “บิ๊กจิ๋ว” ไร้ทางเจรจาสมานฉันท์ พร้อมจี้ “อสส.” เร่งส่ง 4 หมายจับ ยับยั้ง “แม้ว-หญิงอ้อ” ยื่นขอลี้ภัยในอังกฤษ
วันนี้ (6 ต.ค.) นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.ระบบสัดส่วน ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีศาลยกคำร้องการเพิกถอนการออกหมายจับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 1 ใน 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกออกหมายจับข้อในหากบฏ ตามที่ทีมทนายความของกลุ่มพันธมิตรฯ ร้องขอว่า กรณีดังกล่าว จะยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการออกหมายจับด้วยข้อหากบฏนั้น เป็นข้อหาที่รุนแรง ไม่เหมาะสมกับเหตุ และอยู่ในช่วงที่รัฐบาลได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนั้น จึงไม่เป็นผลดีต่อนโยบายสร้างความสมานฉันท์ของรัฐบาล เพราะจะทำให้การเจรจาระหว่างรัฐกับพันธมิตรฯ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
“ผมอยากให้รัฐบาลแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร ไม่ใช่เจรจาไปทุบไป หรือใช้กลยุทธ์ในการจับ เพื่อเป็นเครื่องมือในการเจรจา แต่ความจริงต้องการให้กลุ่มผู้ประท้วงอ่อนแอลง ส่วนการจับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นั้น ผมเชื่อว่า ไม่สามารถทำให้การชุมนุมอ่อนแอลงได้ แต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์อยู่ในช่วงสงบ เพราะขณะนี้มีผู้เข้ามาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้น และคนจากต่างจังหวัดก็ทยอยเข้ามาสมทบด้วย จะเห็นได้ว่าการจับ พล.ต.จำลอง จะนำสู่ความรุนแรง เหมือนกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เพราะการจับ พล.ต.จำลอง จะนำไปสู่ความรุนแรงทันที” นายไกรศักดิ์ กล่าว
นายไกรศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า จะเดินหน้าเจรจากับพันธมิตรฯ ว่า ขอให้ พล.อ.ชวลิต เดินหน้าเจรจาต่อไปให้ประสบความสำเร็จ แต่เชื่อว่ามีทางเดียวเท่านั้นคือ “คุณพระช่วย” เพราะการเจรจาขณะนี้ได้จบลงแล้ว
ส่วนการถอนพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้จะถอน หรือไม่ถอน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้จะถือพาสปอร์ตแดงก็ยังถูกค้นกระเป๋าได้อยู่ดี แต่คนที่ถือพาสปอร์ตดังกล่าว ต้องการถือเพื่อเป็นเกียรติศักดิ์ศรีเท่านั้น ซึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ คือ กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ยื่นขอลี้ภัยทางการเมืองต่อกระทรวงมหาดไทย ประเทศอังกฤษ และเชื่อว่าประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างคือ การรัฐประหาร และมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบด้วยความไม่เป็นธรรม รวมถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย และที่น่าห่วงที่สุด คือ เกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้กรณีเรื่องโทษประหารชีวิตมาเป็นข้ออ้างในการลี้ภัยในครั้งนี้
“การอ้างถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับ พ.ต.ท. ทักษิณ มากนัก เนื่องจากได้เคยเข้ามาปรากฏตัว และต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมไทย โดยมีการตั้งทีมทนายขึ้นมาต่อสู้ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จึงสะท้อนให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของประเทศในระดับหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดขึ้นกับการใช้วิจารณญาณของกระบวนการยุติธรรมในอังกฤษว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ทั้งต้องขึ้นกับจุดยืนของประเทศไทยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับเรื่องนี้” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายไกรศักดิ์ กล่าวอีกว่า มีทางเดียวที่สามารถทำได้ คือ ศาลต้องมอบให้อัยการสูงสุดดำเนินการส่งหนังสือออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งได้ออกหมายจับไปแล้วถึง 4 ครั้ง โดยให้ส่งไปยังประเทศอังกฤษโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการต่อสู้ และนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยใช้ความร่วมมือการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย และอังกฤษ ซึ่งไทยได้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอังกฤษปีละ 5-10 คน ซึ่งเชื่อว่า ประเทศไทย และอังกฤษมีความสัมพันธ์ทีดีต่อกัน โดยจะเห็นได้จากทุกคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปอย่างง่ายดายมาก ดังนั้น ไทยควรใช้ช่องทางนี้ในการดำเนินคดีด้วย
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการจับกุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ใน 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในข้อหากบฏว่า การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการส่งสัญญาณการเดินหน้าเจรจาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะในขณะที่พันธมิตรฯ กำลังจะยื่นมือร่วมเจรจา แต่อีกฝ่ายกลับยื่นเท้าให้ด้วยการจับกุมแกนนำฯ ทั้ง 2 คน ชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจในรัฐบาล และกำลังถูกดิสเครดิตจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเจรจาเกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ก็ไม่ควรเสียเวลาเจรจากันอีก
“พล.อ.ชวลิต เหมือนแบตเตอรี่เสื่อม ชาร์ตไฟเท่าไรก็ไม่เข้า และถ้าเป็นผม เมื่อรู้ตัวเองว่าไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกแทงข้างหลัง ก็คงไม่มีหน้าจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป จะยอมพิจารณาตัวเองเพื่อรักษาเกียรติ และศักดิ์ศรีในช่วงบั้นปลายของชีวิต อีกทั้งผมเชื่อว่า การที่ตำรวจเข้าจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น มีความเชื่อมโยงกัน เพราะเป็นจังหวะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กำลังประชุมร่วม 4 ฝ่ายเพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง”นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงเป็นเหมือนกระบวนการหักหน้า และดิสเครดิตนายสมชาย ซึ่งถ้าลองต่อจิ๊กซอ ก็จะพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกคำสั่งให้จับกุมแกนนำพันธมิตรฯ นั้น ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีที่เป็นตำรวจกลุ่มเพื่อนเนวิน รวมทั้ง กรณีที่ประธานสภาฯ ซึ่งเป็นผู้บรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น ก็อยู่กลุ่มเพื่อนเนวิน ดังนั้นนายสมชาย ต้องไปคิดดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อมีบุคคลที่จ้องจะเล่นงานอยู่ใกล้ตัว