"สนธิ"เปรียบเทียบบ้านเมืองในทุกรัฐบาลตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองระบุไม่มียุคไหนสงบเท่ากับยุค "ป๋าเปรม" มีการนำพระราชดำรัสมาปฏิบัติทั้งการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและส่งเสริมคนดี ย้ำการต่อสู้ของพันธมิตร ฯได้เปลี่ยนฐานความคิดสังคมครั้งใหญ่ เดือด ป.ป.ช.ดองคดีทุจริต เรียกร้องไล่เบี้ย "ภักดี โพธิศิริ" ยื้อคดีโกงสุวรรณภูมิกว่า 2 ปี ยังไม่สรุปสักเรื่องเดียว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (2 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.20 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯที่ทำเนียบฯ ได้เริ่มกล่าวว่า นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ช่วงที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคือช่วงที่บ้านเมืองสงบที่สุด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมเราต้องมีนายกฯมาจากการเลือกตั้ง มันจำเป็นแค่ไหน
นายสนธิ กล่าวเปรียบเทียบในยุควิกฤตค่าเงินบาทระหว่างยุค พล.อ.เปรม กับยุคที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯว่าในยุค พล.อ.เปรม ไม่มีใครนอกจากคนที่เกี่ยวข้อง 1-2 คน เช่น พล.อ.เปรม กับ นายสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคนั้น ผิดกับในยุค พล.อ.ชวลิต ที่มีคนรู้มากมายและได้ประโยชน์จากการลดค่าเงินบาท ในยุค พล.อ.เปรม เป็นการตัดสินใจอย่างฉับพลันเพื่อผลประโยชน์ของชาติในระยะกลางและระยะยาว คิดถึงชาติบ้านเมืองเป็นหลัก โดยไม่สนใจกับกลุ่มนักธุรกิจที่เสียประโยชน์เสียงไม่กี่คน ซึ่งในกรณีนี้ตรงกับพระราชดำรัสที่ว่าให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังได้ยกตัวอย่างกรณีพระราชดำรัสเรื่องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ซึ่ง 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม ก็เป็นยุคที่ส่งเสริมคนดีมากมาย
นายสนธิ ยังได้แนะนำให้ไปหาหนังสือพระมหาชนกมาอ่านกัน เพราะถือว่าเป็นธรรมขั้นสูง และจะเห็นแนวคิดของพระองค์ท่านที่ทรงให้เน้นความเพียรในสิ่งที่ดี เหมือนกับพวกเราที่เอาธรรมนำหน้ามีความเพียร
"มาวันนี้จะถึงฝั่งหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นแล้ว แต่อยู่ที่ว่าพี่น้องเชื่อในสิ่งที่มาวันนี้หรือไม่ต่างหาก และสิ่งที่พี่น้องพันธมิตรฯทำมาร้อยกว่าวันได้เปลี่ยนฐานความคิดของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว และครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะเป็นการต่อสู้ด้วยปัญญา และทำให้สังคมได้เปลี่ยนไปแล้วมากกว่าปี 49 หรือต้นปี 51 ด้วยซ้ำไป" นายสนธิ ระบุ
นายสนธิ ได้อ้างผลสำรวจของบริษัทสำรวจของฝรั่งที่ชื่อว่าบริษัทเอซี นีลเสน ซึ่งเป็นบริษัทที่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยให้ความเชื่อถือเพราะสามารถใช้เป็นฐานในการลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยทำการสำรวจเมื่อสามเดือนก่อนการชุมนุมของพันธมิตรฯเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา เปรียบเทียบผู้ชม "เอเอสทีวี" กับ "ฟรีทีวี" ผลปรากฎว่ามีผู้ชมข่าวเอเอสทีวีมาเป็นอันดับ 3 เป็นรองช่อง 3 และช่อง 7 ตามลำดับ ซึ่งในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มีละครเป็นส่วนใหญ่ด้วย คนก็ยังดูข่าวเอเอสทีวีมากกว่าช่องอื่นๆ
จากนั้น นายสนธิ ได้เล่าว่าหลังจากได้กล่าวตำหนิ ป.ป.ช.บางคนที่เตะถ่วงการพิจารณาเรื่องทุจริตที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในหลายคดี เช่นคดีทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ หรือคดีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กรณีออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเรื่องปราสาทพระวิหารโดยมิชอบ ปรากฎว่าล่าสุดได้มีคนใน ป.ป.ช.โทรศัพท์มาบอกว่า คำพูดดังกล่าวทำให้พวกเขาเดือดร้อนมาก และได้ชี้แจงว่าเรื่องคดีกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กำลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ติดใจ
อย่างไรก็ดี นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งที่ข้องใจก็คือทำไมคดีทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิส่งไปตั้ง 24 เดือนแล้วยังไม่สรุปออกมาแม้แต่คดีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องมาเอาใจพันธมิตรฯหรือเอาใจใคร แต่ขอให้ทำหน้าที่เพื่อชาติ ทำงานด้วยความตรงไปตรงมาด้วยความรวดเร็ว แค่นี้ก็พอแล้ว
"เรื่องที่เกิดขึ้นให้ไปถามคนใน ป.ป.ช.กันเองว่าใครเป็นคนคุมคดีทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ ถ้าไม่รู้ชื่อบอกให้ก็ได้ ชื่อภักดี โพธิศิริไงเล่า" นายสนธิ ระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ นายปานเทพ กล้าณรงต์ราญ นายกล้านรงค์ จันทิก หรือ ป.ป.ช.คนอื่นๆไปสอบถามดู ถ้าจริงก็ไปตำหนิกันเอาเอง เพราะ นายภักดี ทำให้ ป.ป.ช.เสียชื่อ
"เรื่องอื่นผมไม่สนใจ แต่ทำไมทีคดีทุจริตสุวรรณภูมิที่เกี่ยวข้องกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนายสมชายด้วย ผ่านมา 2 ปีแล้วทำไมไม่ออกมาซักเรื่องเดียว" นายสนธิ ระบุ