“สนธิ” ย้อนประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์มีพระมหากษัตริย์สองพระองค์ ที่เคยสาปแช่ง คือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ที่ทรงสาปแช่งคนโกงให้มีอันเป็นไป และมีนายกฯมีอันเป็นไปถึงสองคนแล้ว ล่าสุด ถ้าดูจากการแต่งตั้งรัฐมนตรีของรัฐบาลปัจจุบันจะต้องมีคนมีอันเป็นไปอีก พร้อมเซอร์ไพรส์เล่าเรื่องผ่านเพลง โชว์เหรียญ “พระมหาชนก” พร้อมถ้อยคำปริศนา “ขอให้อดทนอีกนิดใกล้ถึงฝั่งแล้ว”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
คลิก! ชมการปราศรัยและโชว์พิเศษของ“สนธิ ลิ้มทองกุล” (56K) |(256K)
วันนี้ (26 ก.ย.) เมื่อเวลา 22.30 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีพันธมิตรฯทำเนียบรัฐบาล โดยเริ่มกล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีการสาปแช่งโดยพระมหากษัตริย์สองพระองค์ พระองค์แรก คือ สมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่รณรงค์ให้มีการเขียนภาษาไทย เนื่องจากสมัยนั้นคนไทยมักมีการเขียนภาษาขอม ภาษาบาลี หรือเขียนปนภาษาไทย ทำให้พระองค์ต้องสาปแช่งว่าถ้าใครไม่ตั้งใจเขียนภาษาไทยขอให้ผมร่วง แต่ใครตั้งใจขอให้ผมดกดำเงางาม
ส่วนครั้งที่สองนั้น เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยเข้าเฝ้าฯ ซึ่งในช่วงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แต่งตั้งผู้ว่าฯซีอีโอ พอดี โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงงสาปแช่งว่า ใครคดโกงขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าทำดีขอให้มีอายุยืนนับร้อยปี
“พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ เป็นผู้มีบุญญาธิการ มีภูมิธรรม มีเทพยดาคุ้มกัน ดังนั้น คำสาปแช่งของพระองค์ท่านจึงศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เห็นได้จากนายกรัฐมนตรีถึงสองคนที่มีอันเป็นไป และยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนจะต้อมีอันเป็นไป” นายสนธิ ระบุและว่า ในวันที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี นำรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ฯและถ้าคนพวกนี้ยังทำชั่วจะต้องมีอันเป็นไปแน่นอน
นายสนธิ กล่าวว่า พระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า การแก้ปัญหาไม่ง่าย ซึ่งมี 3 เรื่อง คือ ความแตกแยกระหว่างคนที่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ กับพวกที่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องที่สองคือ มีประชาชนจำนวนมากต่อต้านไม่ให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ยังมีข้าราชการ นักการเมือง ที่ยังฉ้อราษฎร์อยู่ ต้องการให้ นายสมชาย ตัดสินใจ แต่ดูจากรัฐมนตรีที่แต่งตั้งเข้ามาแล้วเชื่อว่าคนพวกนี้ต้องมีอันเป็นไปแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพูดถึงตรงนี้ นายสนธิ ได้กล่าวว่า พวกเราเครียดกันมากว่า 120 วันแล้ว มาคลายเครียดกันบ้าง และขอให้ระบายออกมา โดย นายสนธิ ได้ทำหน้าที่เป็นดีเจเปิดเพลงในลักษณะเล่าเรื่องผ่านเพลง โดยเริ่มจากเพลงของ สุรพล สมบัติเจริญ เริ่มจากเพลงแฟนจ๋า เพลง 16 ปีแห่งความหลัง และสลับด้วยเพลงสากลทั้งที่บรรยายในเรื่องของการครองชีวิตคู่ จนกระทั่งเรื่องที่บรรยายถึงความเจ็บปวดจากสงครามและการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ในตอนหนึ่ง นายสนธิ ได้กล่าวแทรกขึ้นว่า “มีคนถามว่าผมห้อยพระอะไร ผมบอกว่านี่เป็นเหรียญพระมหาชนก แล้วถามว่าได้มาอย่างไร แต่อย่าให้ผมบอกเลย แต่เอาเป็นว่ามีข้อความฝากมาว่า พวกเราว่ายน้ำมานานแล้วเหมือนพระมหาชนก ขอให้อดทนอีกนิด เพราะใกล้จะถึงฝั่งแล้ว”
