“สนธิ” มั่นใจการชุมนุมที่ใช้ธรรมะ สันติ อหิงสา เป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะฝ่ายอธรรม ชี้สังคมไทยแยกข้างชัดเจนแล้ว เพราะประชาชนที่ออกมาชุมนุม ไม่ยอมทนกับการเมืองเก่าอีกต่อไป
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันที่ 7 ก.ย. 51 เมื่อเวลาประมาณ 21.40 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาบอกว่าพันธมิตรฯ สะสมอาวุธร้ายแรงไว้ในทำเนียบรัฐบาลว่า คงต้องการดูมือตบของพวกเราว่าเป็นอาวุธแบบไหน เหตุใดนายกฯ จึงถูกถีบตกเก้าอี้ด้วยมือตบ
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนเองได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลี เขาบอกว่าการเมืองที่เกาหลียุ่งแล้ว แต่เมืองไทยกลับยุ่งกว่า เพราะที่ประเทศเกาหลี ตำรวจและอัยการถือเป็น 2 หน่วยงานที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนักการเมืองหรือกลุ่มทุนทางธุรกิจ ผู้บริหารบริษัท ซัมซุง หรือนักการเมืองใหญ่ ก็ถูกตำรวจจับยัดเข้าคุกมาแล้ว
สำหรับประเทศไทย นายสนธิ กล่าวเปรียบเทียว่า เมื่อมีความขัดแย้งทางความคิดเกิดขึ้น พวกเราพันธมิตรฯ ก็มีความใจกว้างพอ แต่พออีกฝ่ายหนึ่งคิดไม่เหมือน ก็ใช้กำลังมาบุกทำร้าย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจกลับไปสนับสนุนอีกฝ่าย ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
นายสนธิ ระบุว่า สังคมไทยเลือกข้างมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่กลางปี 2548-2549 แต่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพิ่งมาให้เลือกข้าง สังคมเขาเลือกข้างกันมานานแล้ว เมื่อสังคมเลือกข้าง ทหาร ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และนักวิชาการก็ต้องเลือกข้าง จะไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะมีฝ่ายสันติ อหิงสา เป็นฝ่ายธรรมมะ คือยึดความถูกต้องมาตลอด ไม่มีการบิดเบือนผิดให้เป็นถูก ดีให้เป็นเลว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การยึดแนวทางที่ถูกต้องมาโดยตลอด ยึดสันติ อหิงสาตรงนี้ เป็นจุดที่ทำให้คนออกมาสันสนุนเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกคนเห็นว่า พวกเราเอาธรรมนำหน้า ไม่มีการเมาเหล้าเมาเบียร์ ไม่มีการยกคนไปต่อตีฝ่ายตรงข้าม แม้จะไม่เห็นด้วยกันทางความคิด ต่างจากอีกฝ่ายหนึ่งที่การชุมนุมเริ่มจากอวิชชา อธรรม ใช้สินทรัพย์เพียง 200-300 บาท สิ่งที่การชุมนุมพูดก็ด่าพ่อล่อแม่ ไม่มีอุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น แค่ทำให้คุ้มค่าเงิน พอฝนตกก็แตกกระเจิง แดดร้อนก็วิ่งเข้าต้นมะขามที่สนามหลวง พอดึกหน่อยก็ปิดเวที นี่คือ การต่อสู้แบบรับเงิน แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น
“รัฐที่มีอำนาจและใช้ไปในทางที่ผิด ไม่มีทางต่อสู้กับพวกเราได้ เพราะพวกเราเอาธรรมนำหน้า เราจึงต้องชนะ เพราะหากไม่ชนะ เราก็ต้องแจ้งไปยังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่า พระพุทธเจ้าสอนผิด" นายสนธิ กล่าวและเพิ่มเติมว่า การพวกเราที่บอกว่า การเมืองชั่วๆ เก่าๆ เราไม่เอาอีกแล้ว พอพูดเรื่องการเมืองใหม่นิดเดียว ถึงเรื่อง 70:30 มันก็รีบออกมาบอกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบโควตาอ้อย แต่ความจริง คือ ที่เราออกมาชุมนุมกันมากมายนี้ เราไม่อยากอยู่ในบ้านที่มีกลิ่นเหม็นอีกต่อไปแล้ว และต้องการย้ายออกไปจากสิ่งที่เน่าเหม็น เพราะเราไม่อยากอยู่อีกแล้ว
นายสนธิ กล่าวว่า การเมืองใหม่จะพิจารณาจารีต สังคม และวัฒนธรรม โดยค้นหาว่าประชาธิปไตยแบบไหน ถึงจะให้ประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ไม่ใช่เพื่อนักการเมืองน้ำเน่า พร้อมยกตัวอย่างการเมืองเก่า กรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ ออกมาประกาศยก ส.ส.ให้กับนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นตัวอย่าที่ชัดเจน เพราะเราเห็นวัฎจักรเป็นวังวนน้ำเน่าๆ มานาน 50-60 ปีแล้ว
ดังนั้น การที่พ่อแม่พี่น้องมาชุมนุมกันที่นี่ ก็เพื่อบอกว่า พวกเราจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว พวกนักการเมืองเก่าจึงไปปลุกระดมชาวบ้านในต่างจังหวัดเพื่อออกมาต่อต้าน และที่ปลุกคนได้ก็เพราะจ่ายคนละ 200 บาท ทำให้สังคมไทยส่วนหนึ่งกลายเป็นพวกล้มละลายทางความคิด ที่น่าเสียดายก็คือ กลุ่มครู อาจารย์ และอธิการ กลับออกมาห้ามเด็กไม่ให้แสดงออกทางความคิดทางการเมือง”
นายสนธิ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น ตนเองจึงไม่แปลกใจว่าทำไมการศึกษาของไทยจึงตกต่ำได้ขนาดนี้ นักศึกษาจะหนีการเมืองได้อย่างไร เพราะถ้าการเมืองดี การศึกษาก็จะดี หากการศึกษาดี การเมืองก็จะดีด้วย เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก แต่เพราะพวกครู อาจารย์ อธิการ ยุคนี้ มีความคิดแบบนี้ จึงไม่แปลกใจว่า การศึกษาของไทยทำไมนับวันยิ่งถอยหลังลงคลอง และไม่เคยมียุคไหนที่การศึกษาตกต่ำจนห่วยแตกได้ขนาดนี้
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้ แต่อาจารย์ และอธิการบดี ยังดูไม่ออก แล้วยังคิดอยากมาเป็นอธิการบดี ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยเอกชน วันหลังจะติดป้ายไว้ว่า มี ม.เอกชนที่ไหนบ้างที่ไม่สนับสนุนการชุมนุมแบบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจที่จะไม่ส่งลูกหลานไปเรียน เพราะเรียนแล้วโง่”
นายสนธิระบุว่า พวกเราต้องเลือกข้าง อย่างกรณีสื่อ ASTV และช่อง 3, 5, 7, 9, เราต้องเลือก ASTV เพราะเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมที่มีพิษ แต่เป็นธรรมมะ เมื่อเราต่อสู้กับมาแล้ว อย่าหยุดยั้งที่จะต่อสู้ แม้ไม่มีการชุมนุม เราก็จะเลือกข้าง ทั้งสื่อ สินค้า และสถาบัน เมื่อเลือกข้างแล้ว ก็ต้องให้ถึงที่สุด เพราะยังไงก็ประกาศเป็นศัตรูกันแล้ว ทางใครก็ทางมัน
นายสนธิ เชื่อมั่นว่า พลังของพ่อแม่พี่น้องหลายแสนคนที่มาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล สามารถเป็นพลังที่พลิกเปลี่ยนทิศทางธุรกิจการค้า และการศึกษาได้ ถ้าพวกเราเอาพลังทั้งหมดมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กรณีของ ม.ศรีปทุม เราต้องบอกลูกหลานที่จะเข้ามาเรียนว่า ให้ไปเรียนที่อื่นดีกว่า ตอนนี้สังคมไทยเป็นสังคมที่เลือกข้างเด็ดขาดไปแล้ว ดีคือดี ชั่วคือชั่ว ผิดคือผิด ถูกคือถูก ไม่มีผิดคือถูก ดีคือชั่ว แน่นอน
“ผมคงไม่ต้องกล่าวขอบคุณพ่อแม่พี่น้อง เพราะกายและวิญญาณของผมเป็นของพ่อแม่พี่น้องไปแล้ว หากจะทำอะไรก็ต้องถามพ่อแม่พี่น้องก่อน ผมคงไม่ต้องถามพ่อแม่พี่น้องว่า ร้อนไหม เหนื่อยไหม เพราะร้อน และเหนื่อยกันแทบขาดใจอยู่แล้ว แต่พ่อแม่พี่น้องคงตอบว่า ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย พากเราจะสู้กันไปจนถึงที่สุด”
นายสนธิ ยังฝากบอกไปถึงคนที่มีอำนาจแต่ยังโง่คิดไม่ออกว่า นี่แหละคือการเมืองใหม่ คือการที่ทุกคนมีส่วนร่วม