xs
xsm
sm
md
lg

“สุริยะใส” เย้ยหมักหมดเพาเวอร์สั่งไม่ได้ เชื่อกองทัพจะเคียงข้างประชาชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สุริยะใส” ชี้ “หมัก” จนตรอกหมดพาวเวอร์ทางการเมือง แม้แต่ “พลังแม้ว” ยังไม่เชื่อน้ำยา วิ่งหัวปั่นเช็คข่าวรัฐประหารให้วุ่น เชื่อสุดท้ายทหารจะยืนข้างประชาชนเพราะหากยอมเป็นเครื่องมือปราบประชาชนสุดท้ายกองทัพจะกลายเป็นทรราช ขณะเดียวกัน เตือน พันธมิตรฯ ดูแลกันเองให้มาก หวั่นมือที่สามฉวยโอกาส

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสุริยะใส กตะศิลา ปราศรัย 

วันนี้ (29 ส.ค.) เมื่อเวลา 21.59 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ทำเนียบรัฐบาลว่า เรื่องใหญ่สุดวันนี้ที่ต้องสรุปและถือว่าเป็นชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็คือสงครามชิงพื้นที่ของพวกเราชนะทุกจุด ไม่ใช่แค่การยึดมัฆวานฯคืนเท่านั้น ที่สำคัญคือการไล่ต้อนตำรวจกลับกรมกองเรียบร้อยแล้ว ถ้าวันนี้คืนนี้พรุ่งนี้ มีอำนาจเดียวเท่านั้นที่จะสลายเราได้คือกองทัพได้ ซึ่ง ตนเชื่อว่าถึงเวลากองทัพต้องยืนอยู่ข้างประชาชน เพราะกองทัพกินแรงเรามานานเหลือกัน วันนี้ก็ 97 วันแล้ว แล้วจู่ๆ จะมาเด็ดยอดคว่ำกระดานแล้วสถาปนาอำนาจใหม่ขึ้นมาเราไม่เอา

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ตรงนี้ พรรคร่วมรัฐบาลนัดประชุมกันคร่ำเครียดที่บ้านบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย นายบรรหารกำลังจะแสดงสปิริตแต่คนทีนี่ไม่เอาแล้ว ก็ผูกกันมาตั้ง 6 เดือน ก็จมกันไปทั้งพวงแหล่ะ บ้านเมืองจะวิกฤติขนาดนี้เพิ่งคิดได้ เรายังต้องการนักการเมืองแบบนี้อยู่หรือเปล่า ฉะนั้น แกนนำถึงประกาศว่ายุบสภาไม่ใช่คำตอบ แต่ภารกิจของเราที่สำคัญกว่าการไล่รัฐบาลชุดนี้ คือ การมีส่วนร่วมในการกำหมดหน้าตาและภารกิจของรัฐบาลชุดใหม่

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ชุมนุมกับพันธมิตรฯ เข้าปีที่ 4 ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เราสร้างแรงกดดันและสะเทือนสังคมได้รุนแรงที่สุด เขย่าการเมืองไทยอย่างรอบด้าน องค์อำนาจหลายๆ ส่วนเริ่มขยับ รุนแรงมากกว่าครั้งเคลื่อนไหวเมื่อก่อน 19 กันยา 49 รุนแรงมากกว่าสงคราม 9 ทัพต้องปรบมือให้กับพันธมิตรฯ

มีคำหนึ่งที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดบอกว่า เรากำลังเริ่มทำสงครามใหม่บอกแล้วไงว่าสงครามกู้ชาติคือสงครามครั้งสุดท้าย แต่สงครามสร้างชาติกำลังเริ่มตรงนี้นาทีนี้ ตนกล้าประกันกับพี่น้องว่าถ้าเราตรึงกำลังแบบนี้ที่นี่ตรงนี้ ไม่เกินวันอาทิตย์การเมืองเปลี่ยน

“กลับไปดูฝ่ายตรงข้ามกำลังปฏิบัติการอะไร ซึ่งเราประณามไปแล้วว่าเป็นทรราช กำลังใช้มาตรการเดียวกับทรราชในอดีต เอ็นบีที มีคำสั่งภายในให้วิทยุคลื่นในสังกัดถ่ายทอดข่าวจากช่องเอ็นบีที 24 ชั่วโมง เพราะแบบนี้ไงถึงอาจจะต้องไปเยี่ยมรอบสองดีไหม”

นายสุริยะใส กล่าวว่า ปฏิบัติการตอบโต้ตำรวจตาต่อตาฟันต่อฟัน ริงๆแล้วไม่ใช่ยุติศาสตร์การต่อสู้ของเรา ศัตรูของเราจริงๆ คือรัฐบาลนอมินี คือสมัคร สุนทรเวช ฉะนั้นอย่าไปหลงประเด็นว่าตำรวจคือศัตรู วันนี้แค่สั่งสอนว่าคนของเราเจ็บไม่ได้ ปฏิบัติการที่สนามม้านางเลิ้งและที่บช.น. เป็นปฏิบัติการเพียงแค่เตือนตำรวจว่าอย่าบังอาจใช้กำลังสลายพวกเรา

นายสุริยะใส กล่าวย้ำว่า ประวัติศาสตร์ตำรวจไทยตั้งแต่ก่อตั้งมา ไม่มีศักยภาพจัดการกับฝูงชนมากกว่า 1 แสนคน ฉะนั้น ที่นายสมัครบอกว่าเขาเป็นคนสั่งให้ถอนกำลังไม่จริง เพราะวันนี้ได้พิสูจน์ชัดว่าสมัครสั่งการหน่ยงานใดๆไมได้อีกแล้ว สร้างนายตำรวจรุ่นเดียวกับทักษิณ มาจ่อคิวนั่งแทน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังไม่ถึงข้ามคืน ต้องเรียกกลับมาคุมเกมแทน แสดงว่าแผนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อเช้า

“หลังจากนี้ก็ต้องไปยืมมือกองทัพ ประสบการณ์ในการยืมมือกองทัพปราบฝูงชน ชนะแค่ชั่วข้ามคืน แต่หลังจากนั้นกองทัพก็เป็นทรราช จำเหตุการณ์พฤษภา 2535 ได้ใช่ไหม ก็เป็นพระเอกไม่กี่วัน ก็กลายเป็นทรราช ยกเว้นคมช.ที่อาจถูลู่ถูกังไปได้ ได้ทั้งก้อนอิฐและดอกไม้ ฉะนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่กองทัพจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้ามาคุมสถานการณ์ ถ้าใช้เกิดอะไรขึ้นกองทัพต้องรับผิดชอบ เป้าของเราก็อาจจะต้องหันหัวไปทางกองทัพ แต่ถ้ากองทัพจะเบ่งกล้ามให้นายกฯนอมินีหน่อยว่า หมดเวลาคุณแล้วก็ง่ายนิดเดียว บอกว่ากองทัพไม่ยินดียินร้ายกับคุณแล้ว แค่นี้ก็ไปแล้ว”

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า จากนี้ต้องดูว่ากองทัพจะวางจุดยืนทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างไร ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องรอดูท่าทีต่อไปที่อาจจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ถ้าสมมติถอนตัวจริงๆ นายสมัครก็ต้องตัดสินใจสองอย่าง คือ ยุบสภา หรือลาออก ลาออกก็จะเกิดคำถามว่า ขั้วการเมือง หลักการง่ายๆ อะไรที่พันธมิตรฯ มีบทบาทในการกำหนดภารกิจของรัฐบาลชุดใหม่โดยเฉพาะการล้มล้างระบอบทักษิณ เราอาจจะช่วยคิดการบ้านให้รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านว่า 1.ต้องโค่นล้มระบอบทักษิณอย่างจริงใจ 2.ต้องประคับประคองตุลาการภิวัฒน์ 3.ต้องจริงใจกับการสร้างการเมืองใหม่ นี่คือการสมมติ อาจจะไม่ใช่อย่างนี้ แต่เราเจ็บปวดกับการเตะหมูเข้าปากสุนัขมาหลายทีแล้ว จึงได้บอกว่าภารกิจของเราเป็นภารกิจคู่ขนาน ด้านหนึ่งคือจัดการกับรัฐบาลหุ่นเชิด อีกด้านคือการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตาและภารกิจ

ทั้งนี้ นายสุริยะใส กล่าวถึงเรื่องที่ยื่นขอถอนหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ ว่า วันจันทร์จะไปอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อเพิกถอนหมายจับ ซึ่งเชื่อว่าด้วยข้อเท็จจริงและความสามารถของทนาย อาจทำให้ทั้ง 9 คนได้รับอิสรภาพในวันจันทร์ แต่ถ้าไม่ใช่อย่างที่ตนคิดก็ไม่ต้องกังวล เราชินแล้วที่หลับนอนที่นี่ กลับบ้านก็ไม่ได้เพราะเขาบอกว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบดักจับที่หน้าบ้าน

นายสุริยะใส กล่าวสนับสนุนกรณีที่ครอบครัวนางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีต ส.ว.สกลนคร ระบุว่าข้อกล่าวหากบฏในราชอาณาจักรควรเป็นข้อกล่าวหาที่เรากล่าวหารัฐบาลหุ่นเชิด เพราะเป็นข้อหาสำหรับคนที่ต้องการล้มล้างการปกครองและรัฐธรรม แต่ภารกิจพันธมิตรฯ ชูธงต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด

“ฉะนั้น พันธกิจของพันธมิตรฯ คือปกป้องรัฐธรรมนูญ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญเป็นกบฏ แต่กลับไม่มีฝ่ายโน้นรับข้อหากบฏต่อราชอาณาจักร คนละเรื่องเลย รัฐบาลต่างหากที่มีพฤติกรรมล้มล้างรัฐธรรมนูญ แล้วปล่อยให้มีการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งเสนอแนวคิดระบอบประธานาธิบดี แต่กลับไม่มีฝ่ายโน้นร้บข้อหากบฏเลย ยอมไม่ได้ สิ่งที่เราทำตอนนี้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิและทำหน้าที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่มาจากการโหวตของประชาชน 14.7 ล้านเสียง”

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ที่สำคัญภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือปกป้องตุลาการภิวัตน์ ซึ่งเรายีงเชื่อมั่นอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากนี้ไปแนวร่วมของพวกเราโดยเฉพาะสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ นัดกันหยุดงาน และตนก็เชื่อว่ามาตรการของเขาจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตงนีเป็นจุดบัญชาการที่สำคัญที่สุด แล้วเราก็ยังทิ้งที่มัฆวานฯ ไม่ได้เพราะเผื่อมีคนเยอะมากขึ้นแล้วเราก็ยังมีข้าวของอยู่อีกมาก ถือว่าเป็นกำลังหนุน และตรงนี้เป็นกำลังส่วนหนึ่ง

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า เมื่อเช้าจริงๆเขาต้องการสร้างภาพให้เห็นว่าเขามาทำหน้าที่รื้อถอนในฐานะเจ้าหน้าที่ทำตามที่ศาลสั่งแต่ทำไปทำมาเลยธง คิดจะสลายเรา พอเจอสวนกลับก็เลยกระเจิงเป็นแถว คิดว่าครั้งนี้ตำรวจจะได้บทเรียน แล้วก็ไม่อยากให้พวกเราแค้นกับตำรวจเกินพอดี จะทำให้เราลืมภารกิจข้างหน้า แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะทำยังไงกับเรา เพียงแต่เราเห็นสัญญาณจากการที่ให้วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ถ่ายทอดเสียงจากเอ็นบีทีที่มีคน นปก.ด่าเรา 24 ชั่วโมง นั่นคือทรราชขาลง สมัย รสช.กับทักษิณ ช่วงขาลงก่อนหมดอายุขัยก็เป็นเช่นนี้ใช้สื่อโจมตีเรา

นายสุริยะใส ย้ำเตือนพี่น้องประนีประนอมกับสื่อมวลชน กระทบกระทั่งกันนิดหน่อยอย่างใช้อารมณ์ สื่อไม่ใช่คู่ต่อสู้ ตำรวจและศาลก็ไม่ใช่ศัตรู แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นเวลาเดียวกัน แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็สามารถจัดการแก้ปัญหาไปได้

นอกจากนั้น นายสุริยะใส กล่าวเน้นย้ำให้ผู้ชุมนุมเป็นการ์ดให้กันและกันด้วย เพื่อระวังภัยมือที่สาม และเป็นวิธีที่ดีที่สุดทำให้เราอยู่ที่นี่เหมือนอยู่บ้าน ไม่ต้องตื่นตระหนกกับเสียงประทัดหรือเสียงอะไร ถ้าไม่มั่นใจว่าใครเป็นพวกเราหรือเปล่าให้ส่งโน้ตไปยังหลังเวที

นายสุริยะใส กล่าวว่า การเมืองจากนี้ไปสองสามวัน เป็นจุดสุดท้ายของนายสมัคร เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่มีนัยะสำคัญมาก และเราอาจจะคาดการณ์ได้ยาก แต่เราต้องสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดวันต่อวัน และอาจจะต้องประเมินสถานการณ์กันเป็นรายชั่วโมง ฉะนั้นอยากให้พี่น้องติดตามข่าวสารให้มาก จากนี้ไปตัวแปลของการเมืองอยู่ตรงนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล ถ้าเราไม่ใช้อารยะขัดขื่นขั้นสูงสด พรรคร่วมรัฐบาลเขาจะประชุมกันไหม ไม่มีทางเขาก็เสพสุขกับการร่วมรัฐบาล แต่วันนี้มาเรียกประชุมครบทั้ง 5 พรรค และมีข่าวว่าเขาจะกดดันให้นายสมัครลาออก

“ย้ำอีกครั้งว่า เป้าหมายเราอยู่ที่รัฐบาลหุ่นเชิด อยู่ที่สมัครและระบอบทักษิณยังอยู่ ไม่ได้ไปไหน วันนี้กำลังคิดว่าจะปรับตัว จะแปรรูปตัวเองยังไงให้หนีจากการไล่ล่าของพวกเรา แต่เขาไปไม่รอดแน่ เพราะวันนี้กระดานการเมืองทุกกระดานไม่มีทางหนีให้กับระบอบทักษิณและหุ่นเชิดแล้ว”

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า จะจับขั้วการเมืองใหม่ก้ไม่ง่ายเหมือนเดิม แม้จะมีเงินซื้อมากมายสองสามเท่าก็ไม่ง่าย ยุบสภาหนีก็ไม่ง่าย ปลุกมวลชนมาเผชิญหน้ากับเราก็ไม่ง่ายเพราะกระแสการเมืองวันนี้เป็นกระแสสูงของพันธมิตรฯ ไปแล้ว ถึงขั้น นปก.ปลุกมวลชนไมได้ นัดไม่รู้กี่ครั้งแต่ไม่มีคนเอาด้วย ตอนนี้บางคนกลัวถึงขั้นข่าวรัฐประหาร คนที่กลัวมากที่สุดคือพรรคพลังประชาชนที่เที่ยวเช็คข่าวกันให้วุ่น ไม่มีใครมั่นใจในอำนาจนำของนายสมัครแล้ว ทางการเมืองนายสมัครถือว่าหมดสภาพ แต่ยังไม่ยอมจำนน หน้าที่เราคือไล่ล่าให้ยอมจำนน
กำลังโหลดความคิดเห็น