ส.ว.เรืองไกร ยื่น ป.ป.ช.สอบ “ณัฐวุฒิ-จตุพร” แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ ลามถึง ส.ส.พปช.ส่อแววโดนเชือดยกเข่ง เหตุไม่ยื่นภาษีจากเงินที่พรรคสนับสนุนเพื่อการเลือกตั้ง ท้ามือมืดส่งไปรษณีย์ข่มขู่อย่าทำตัวเป็นอีแอบ
วันนี้ (19 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้ส่งจดหมายลงทะเบียนถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 62 เพื่อขอให้ตรวจสอบนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งคู่ โดยนายเรืองไกรระบุว่า ตนได้ตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่จำกัด โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กรรมการผู้มีอำนาจได้ยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นไว้เมื่อวันที่ 30 เม.ย.และ 4 มิ.ย. วันที่ 31 ต.ค.50 และวันที่ 15 ม.ค.51 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้น ทั้งนี้การแจ้งบัญชีเมื่อ 30 มิ.ย. พบว่านายณัฐวุฒิถือหุ้นอยู่ 2 แสนหุ้น มูลค่าที่แจ้งหุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 20 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 4 มิ.ย.ได้แจ้งถือหุ้นลดลง 1 แสนหุ้น และในวันที่ 31 ต.ค.ได้แจ้งหุ้นลดลง 1 แสนหุ้น เข้าใจได้ว่านายณัฐวุฒิควรมีทรัพย์ที่ได้จากการโอนหุ้นอยู่ ณ ปลายปี 50 เป็นมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ส่วนนายจตุพร พบว่ามีการถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิ.ย.50 จำนวน 1 แสนหุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท แต่วันที่ 31 ต.ค. 50 แต่ได้แจ้งถือหุ้นลดลง 1 แสนหุ้น จึงเข้าใจได้ว่า นายจตุพรควรมีทรัพย์สินที่ได้จากการโอนหุ้น ณ ปลายปี 50 เป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาทเช่นกัน แต่นายจตุพรได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไว้เมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 หลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ว่ามีทรัพย์สินสุทธิเป็นจำนวนเงิน 5.3 ล้านบาทเศษ ซึ่งน้อยกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ควรได้จากการโอนหุ้นดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น จึงขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบ และสอบสวนว่ามีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์หนี้สินถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ มีกรณีที่เข้าลักษณะปกปิดข้อเท็จจริง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 263 หรือไม่ โดยขอให้ตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมเช่นสมุดบัญชีทุกชนิด ที่บริษัทต้องจัดทำ สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เอกสารบัญชีรับจ่ายเงิน สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น สัญญาการขายหุ้นมาประกอบการพิจารณาด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า จากคำให้สัมภาษณ์ของนายณัฐวุฒิระบุว่า พรรคพลังประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายช่วงสมัครรับเลือกตั้งทั้งหมดแก่ตนเอง และนายจตุพร ซึ่งเข้าใจได้ว่าทั้งนายณัฐวุฒิ และนายจตุพรได้รับประโยชน์ที่พึงถือเป็นเงินได้ เงินประเมิน จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมายื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะทั้งสองต่างเป็นผู้มีความรู้สามารถวิเคราะห์กฎหมายได้อย่างฉะฉานจากการทำรายการความจริงวันนี้ ย่อมต้องทราบว่าตนเองมีหน้าที่เสียภาษีอากรให้รัฐ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและประมวลรัษฎากร จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ดังนั้นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพิ่มเติมอีกฐานหนึ่งว่า นายณัฐวุฒิ และนายจตุพร เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เข้าลักษณะกระทำทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น คือ ประมวลรัษฎากรมาตรา 37 ด้วยหรือไม่ ขอให้เร่งสอบสวนและเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยต่อไป
นายเรืองไกร ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกลำบากใจที่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ได้รับไปษณียบัตร โดยมีข้อความว่าจะปลุกคน 14 ล้านคน และจะส่งคาราวานคนจนมาที่บ้าน และจะเอาถึงครอบครัวตนด้วย โดยในไปษณียบัตรระบุว่า “จะเอาให้มันเดือดร้อนแสนสาหัส ไอ้ปากหมา ไอ้นรกแสบ ไอ้ชิงหมามาเกิด อยู่ดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม มึงไปไหนไม่คลาดสายตาแน่ เวลาไปที่รถระวังอะไรจะเกิดขึ้นด้วยนะ” ซึ่งขณะนี้ตนกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะแจ้งความเพื่อให้ลงบันทึกประจำวันไว้ แต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ แต่เป็นวิธีการของคนแอบที่ไม่สู้ในหลักการ
"ขอบอกเจ้าของไปรษณียบัตรว่าให้มาเจอกันที่สภาดีกว่า อย่าทำลับๆ ล่อๆ เพราะไม่ทำให้ผมเกรงกลัว ถ้าเอามาได้ 14 ล้านจริงก็เป็นนายกฯ ไปแล้ว" นายเรืองไกรกล่าวพร้อมระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง.ก็โทร.มาเตือนให้ระวังตัว หลังโดนเผาบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ ขณะที่หมอดูกับเพื่อน ส.ว.ก็ทักให้ตนระวังตัว จึงซื้ออาหารปลา เลี้ยงปลาคาร์ปเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปแล้ว