ผู้จัดการออนไลน์ – ชูวิทย์ แฉ ผ่านภาคนิพนธ์ ป.โท ระบุชัด สังคมไทยเสื่อมปี 50 รายได้จากธุรกิจเพศพาณิชย์ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 2 ของจีดีพี สาวเรียนสูง ป.ตรี-โท กลับเลือกขายตัวมากกว่าทำงานทั่วไป เหตุรายได้ต่อเดือนอาจสูงถึงหลักแสน กรณีศึกษาชี้ชัดกองทุนหมู่บ้านของทักษิณล้มเหลว ผลักหญิงสาวเข้าเมืองขายตัวใช้หนี้
จากกรณีที่วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
วานนี้ (15 ส.ค.) หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดโดยคร่าวของภาคนิพนธ์ ปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เรื่อง “ธุรกิจนอกระบบ:ศึกษากรณีการค้าบริการทางเพศในสังคมไทย” โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจเช่น
ผลการสำรวจสถานบริการและผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศ ปี พ.ศ.2550 ของกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันมีสถานบริการทั้งหมด 13,954 แห่ง โดยแบ่งออกเป็น 25 ประเภท ธุรกิจหลักๆ มีผู้ชายให้บริการทางเพศ 5,922 คน ผู้หญิงให้บริการทางเพศ 54,719 คน รวมทั้งหมด 60,641 คน ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว นายชูวิทย์ ระบุว่า ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก โดยจากการประเมินด้วยตัวเลขที่แท้จริงแล้วผู้ให้บริการทางเพศไม่น่าจะมีน้อยกว่า 229,000 คน
นอกจากนี้ ภาคนิพนธ์ดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ในปี 2550 มูลค่ารายได้รวมของธุรกิจเพศพาณิชย์ ซึ่งเป็นการประมาณการขั้นต่ำ อย่างน้อยมีรายได้ประมาณ 174,050 ล้านบาท หากเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยรวมของประเทศในปีเดียวกัน (ปี 2550 จีดีพี เท่ากับ 8,485,200 ล้านบาท) รายได้จากการค้าประเวณีคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 2.05
นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่ารายได้รวมเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของผู้ให้บริการทางเพศนั้นจะอยู่ในช่วงต่ำสุด คือ ราว 15,000 บาท ในกรณีสำหรับผู้ชายที่ขายบริการในดิสโกเธค ส่วนผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดนั้นอาจจะมากกว่า 100,000 บาท สำหรับผู้หญิงที่ให้บริการในสถานบริการนวดแผนโบราณ ทั้งนี้ถ้าเปรียบเทียบแล้วรายได้ต่ำสุดที่หญิงบริการได้รับมากกว่าคนทำงานที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท จึงเป็นเหตุจูงใจให้คนมาทำอาชีพนี้กันมาก
ขณะที่ในตอนหนึ่งของภาคนิพนธ์ นายชูวิทย์ ยังศึกษาพบกรณีศึกษาหนึ่งด้วยว่า มีผู้หญิงชาวเหนือที่ได้รับผลกระทบมีหนี้สินล้นพ้นตัวจากความล้มเหลวของโครงการกองทุนหมู่บ้านที่เริ่มต้นในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาล จนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตต้องมาหารายได้ด้วยการขายบริการทางเพศ โดยรายละเอียดมีดังนี้คือ
กรณี น.ส.บี อายุ 21 ปี เป็นคนทางภาคเหนือ ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่รัฐบาลมีนโยบายโครงการกู้ยืมเงินหมู่บ้านละล้านนั้น ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่รวมทั้งบ้านของตนทำการกู้ยืมเงิน แต่เมื่อกู้ยืมเงินมาแล้วแทนที่จะนำไปลงทุนประกอบอาชีพ กลับนำไปซื้อรถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกมากมาย จึงต้องทำการกู้นอกระบบ โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ซึ่งถือว่าสูงมาก ถึงเวลาครบกำหนดก็ไม่มีเงินชำระหนี้อีก ตนเองรวมทั้งเพื่อนบ้านที่ประสบปัญหาเดียวกันจึงตัดสินใจเข้ามาทำงานในตัวเมือง เพื่อหารายได้ไปชำระหนี้ ประกอบกับการศึกษาต่ำ ไม่มีความรู้ที่จะไปประกอบอาชีพที่ทำรายได้สูงๆ จึงได้ตัดสินใจเข้ามาขายบริการทางเพศ
อนึ่ง กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “กองทุนหมู่บ้าน” หรือ “กองทุนเงินล้าน” คือ นโยบายประชานิยมที่ดำริริเริ่มโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย โดยนโยบายดังกล่าวได้ถูกใช้รณรงค์หาเสียงตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งปี 2544 และถือเป็นนโยบายหนึ่งที่ส่งให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมได้ ทั้งนี้ นโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ได้รับการผลักดัน ด้วยการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ในวันที่ 22 มีนาคม และตราเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในวันที่ 13 กรกฎาคม 2544 อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาได้มีนักวิชาการหลายฝ่ายออกมาประเมินผลและชี้ให้เห็นว่านโยบายดังกล่าวนั้นค่อนข้างจะประสบความล้มเหลว ทั้งส่งผลให้ชุมชนแตกสลาย
อ่านเพิ่มเติม :
- เปิดภาคนิพนธ์"ชูวิทย์" มหาบัณฑิตมธ.ชำแหละเพศพาณิชย์แสนล้าน จากประชาชาติธุรกิจ