“สมเกียรติ” เย้ยรัฐบาลลูกกรอก ไร้ปัญญาบริหารบ้านเมือง ปล่อยม็อบถ่อยอาละวาดไปทั่ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ตำรวจเห็นตำตากลับไม่เข้าจับกุม ชี้การต่อสู้ใกล้แตกหักเต็มที ทั้งในเชิงศาลและเชิงอาวุธ ที่อาศัยเงินฟาดหัวจ้างโจรถ่อยเข้าไล่ฆ่าฟันประชาชนมือเปล่าหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 24 ก.ค. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า เหตุการณ์รุนแรงที่อุดรธานีวันนี้ ถือเป็นครั้งที่สามแล้ว เราไม่เชื่อเลยว่าประเทศนี้เป็นประเทศไทยในศาสนาพุทธหรือไม่ ครั้งแรกในการปราศรัยที่ราชภัฎอุดรธานี ที่นายสุริยะใส กตะศิลา และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ถูกปิดล้อม ครั้งที่สองยังแสดงความป่าเถื่อนจากกุ๊ยที่ทำหน้าที่เป็นโฆษกวิทยุชุมชนได้รับการปูนบำเหน็จให้มาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เงินเดือน 4-5 หมื่นบาท ขณะนี้ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ในการทำลายล้าง และชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงได้เกิดขึ้นแล้วในภาคอีสาน และได้ระบาดไปถึงบุรีรัมย์ ที่ได้แสดงบทหฤโหดทั้งดาบทั้งปืน คิดว่าสงครามภาคประชาชนระหว่างฝ่ายที่มุ่งมาตรปรารถนาที่จะทำลายล้างสังคมที่มีสถาบันสูงสุดได้เริ่มขึ้นแล้ว และในวันนั้นพันธมิตรฯจะต้องเป็นฝ่ายชนะในที่สุด
ทั้งนี้ นายสมเกียรติ กล่าวว่า คดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ วันนี้ที่ขอประกันตัว ตำรวจมีเงื่อนไขมากจริงๆ เพราะมันกระทบไปถึงเอเอสทีวีที่ต้องหยุดถ่ายทอด ภารกิจของตนตอนเช้าไปส่งและให้กำลังใจนายสนธิ ตอนบ่ายไปขึ้นคดีที่ 9 ของตน ซึ่งได้ให้ความจริงกับศาลหมดว่าเรามีความรู้สึก มีสิทธิเสรีภาพอย่างไรบ้าง เพราะการที่ต้องไปศาลตามนัดหมายอย่างรวดเร็ว เพราะคำขอของโจทก์คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ขอในข้อหนึ่งว่าให้เลิกพูดคำว่าทักษิณ ระบอบทักษิณ และคำอื่นใดที่หมายถึงตัวโจทก์ คือทักษิณ ระบอบทักษิณ สามารถพูดได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเมื่อครั้งคดียุบพรรคไทยรักไทย ว่า เป็นคำทั่วไป พูดได้
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ที่ร้ายกาจที่สุด คำขอหนึ่งให้หยุดถ่ายทอดเอเอสทีวี ในทางที่จะทำให้เขาเกิดความเสื่อมเสีย เสียชื่อเสียง และการทำมาค้าขายของเขา ประเด็นนี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ได้ต่อสู้ถึง 2 ชั่วโมง จากนั้นศาลต้องนัดใหม่อีกครั้งในวันที่ 31 ก.ค.51 คราวนี้เราได้อ้างพยานไป 1 ราย คือ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานฯ
นายสมเกียรติ ระบุว่า ช่วงนี้เป็นสงครามที่เราเรียกว่าใกล้แตกหักแล้ว เพราะหนึ่ง ใจกลางความขัดแย้งได้ถาโถมมาสู่การปะทะกันแล้ว การประทะทางความคิด ทางการปราศรัย ได้ดำรงอยู่ตั้งแต่ปี49 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ ฝ่ายหนึ่งมีสตางค์น้อย มีจิตวิญญาณสูง มีข้อมูลมาก อีกฝ่ายหนึ่งความชอบธรรมขาดไป มีเงินมาก สร้างแก๊งก์อันธพาลได้ กองกำลังที่พิทักษ์ชาติกลุ่มหนึ่งและทำลายชาติกลุ่มหนึ่ง ได้ประทะกันมาเป็นเวลา 3ปีเต็ม ยังไม่สิ้นกระแสความ สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร
การปะทะความทางความคิดได้สิ้นกระแสความไปอย่างช้าๆ ขั้นตอนต่อไปก็คือใช้กลไกทางกฎหมายมาเล่นงานกัน เบื้องต้นทราบว่า มีคดีที่ที่แจ้งความเราไว้ราวๆ 500 คดี หมายความว่า พนักงานสอบสวนรับเรื่องแล้วเก็บเอาไว้ยังไม่แจ้งเรา หรือลงบันทึกประจำวันไว้ เฉพาะนายสนธิตอนนี้ใกล้ๆ 70 คดี เฉลี่ยก็วันละคดี ตน 10กว่าคดี ส่วนท่านอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่ำสุด 7 คดี
“การต่อสู้เชิงคดี เป็นการต่อสู้ที่แหลมที่สุด เพราะใช้หลักกฎหมาย ไหวพริบ และการต่อสู้เชิงศาลเข้ามาสู้กัน แต่การต่อสู้ในเชิงอาวุธ ได้เริ่มแล้ว โดยใช้ ปืน ขวาน มีดในภาคอีสาน ภาคเหนือยังไม่เกิด ภาคกลาง ยังไม่เกิด ภาคใต้ไม่น่าจะเกิดได้ มันกำลังเคลื่อนพลอย่างช้าๆมาปะทะกัน ในสงครามชุดสุดท้าย ที่เรียกว่าสงครามแตกหักก่อนที่กระบวนการยุติธรรมจะเข้ามาจัดการ ถ้าเรานับกระบวนการเฉพาะที่พวกนั้นเล่นงานเราผ่านศาล ของเขาหนักกว่า ของเราโทษเบาๆ หมิ่นประมาทบุคคล แต่คดีเขา ยังเป็นคดีที่เชือดคนล้มลงทีละคนสองคน จนถึงหัวโจกทรราช” นายพิภพ กล่าว และว่า ลองพิจารณาตรึกตรองอย่างช้าๆ ที่แล้วมาไม่ต้องพูดถึงให้เสียเวลา เอาคดีใหม่ที่แทรกเข้ามาอีกสองคดี
นายสมเกียรติ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมกำลังจะทำงานโดยสะดวก เมื่อกระบวนการยุติธรรมเดินหน้า ความหวังของประชาชน การต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศก็มีสูงมาก เพราะศาลพิพากษา ไม่ใช่ทหารก่อรัฐประหาร การยอมรับก็สูง ซึ่งสอดคล้องกับวิถีอารยะของคนที่มีความเจริญคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แกนนำพันธมิตรฯ ยังได้กล่าวว่า รัฐบาลนี้ไม่มีปัญญาปกครองประเทศแล้ว ปกครองไม่ได้แล้ว ถ้าปกครองไม่ได้ การปราบปรามหฤโหดที่อุดรธานีจะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่ออำนาจรัฐภายใต้นายสมัคร มีอำนาจจริง ตอนนี้ปกครองไม่ได้แล้ว กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอนาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ นายสมเกียรติได้ทวงถามถึงคดีกุหลาบแก้ว ซึ่งมีการดำเนินคดีตั้งแต่ปี 49 แต่จนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยนายสมเกียรติเผยว่า ได้โทรศัพท์ไปตรวจสอบพบว่า ตำรวจได้ออกหมายจับดะโต๊ะสุรินทร์แล้ว แต่ถูกฟ้องกลับว่าเป็นหมายจับมิชอบเนื่องจากไม่มีการออกหมายเรียกก่อน แต่ในขณะที่กรณีของตนเองและนายสนธิ ไม่มีหมายเรียกออกหมายจับเลย
นอกจากนั้น นายสมเกียรติ ยังเผยว่า ดร.เจริญ คัมภีรภาพ ซึ่งระบุว่ามีเหตุผล 4 ประการ ที่คนๆหนึ่งที่โกงชาติบ้านเมืองมากจะขอลี้ภัยไปต่างประเทศ ตอนนี้กำลังริอ่านคิดจะลี้ภัย ถ้าแน่จริงอย่าหนีศาล โดย ดร.เจริญ กล่าวว่า เขาไปเซ็นสัญญาเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ มากมาย เมื่อไปทำสัญญาต่างประเทศรัฐธรรมนูญเก่าบอกว่าไม่ต้องเสนอรัฐสภา ซึ่งเขาจะใช้เหตุผลในการเซ็นเอฟทีเอ และใช้เงินจำนวนมากที่ซุกไว้ ไปลงทุนกับต่างชาติในการทำสัญญาในเอฟทีเอ เพราะกฎหมายระหว่างประเทศบอกว่าถ้าไปลงทุนกับต่างประเทศ ทรัพย์สินนั้นไม่สามารถอายัติหรือริบได้ อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติได้เตรียมที่จะเปิดรายละเอียดเรื่องดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ (25 ก.ค.)