อดีต สนช.สายนักกฎหมาย เตือนนักเลือกตั้งหยุดกล่าวหาศาลก้าวก่ายการเมือง เป็นข้ออ้างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระบุศาลเป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยของประชาชนที่พระมหากษัตริย์ ทรงใช้ ย้ำ หากไม่ทำผิด ศาลเข้าไปยุ่งการเมืองไม่ได้
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สายนักกฎหมาย กล่าวว่าหลักประชาธิปไตยนั้น อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ จะต้องถ่วงดุลกันและกัน จึงจะเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นหลักประกันความมั่นคงความปลอดภัยของชาติ หากดุลดังกล่าวเสียไป บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้
ปัจจุบันนี้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารเป็นอันเดียวกัน ไปทางเดียวกัน เสียดุลไปแล้ว จึงเหลือแต่อำนาจตุลาการที่เป็นที่พึ่ง ดังนั้น เมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤตถึงที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีกระแสพระราชดำรัสให้ศาลแก้ไขวิกฤตด้วยการทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม กล้าหาญ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ทรงวิงวอนศาลตั้งหลายครั้ง ครั้งล่าสุดถึงกับตรัส ว่า ถ้าศาลทำการไม่สำเร็จ ประเทศชาติก็พัง จึงควรต้องคำนึงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยบ้านเมืองอย่างพร้อมเพรียงกัน
นายไพศาล กล่าวอีกว่า ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ศาลไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ศาลมีหน้าที่ต้องพิจารณาพิพากษาคดีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล ไม่ว่าฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายไหนก็ตามที่กระทำไม่ถูกต้อง ศาลก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาทั้งนั้น การที่นักการเมืองทำผิด ไม่ว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ หรือทำผิดทางปกครอง หรือทำผิดทางอาญา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลยุติธรรม ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีได้ การทำหน้าที่ของศาลในลักษณะนี้ไม่ใช่การเข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงต้องไม่ทำให้เกิดความไขว้เขวในหมู่ประชาชน ซึ่งจะทำให้เป็นการดิสเครดิตศาลและเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองมาก
การที่ศาลตัดสินคดี ไม่ว่าคดีเกี่ยวกับการทำผิดรัฐธรรมนูญ หรือทางปกครอง หรือทางอาญา ก็เพราะมีการทำความผิด มีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่วางไว้ สาเหตุก็คือ การทำความผิด ไม่ใช่รัฐธรรมนูญเป็นสาเหตุ หรือศาลยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด ถ้าไม่ทำผิดเสียอย่างหนึ่ง ศาลก็เกี่ยวข้องอะไรไม่ได้ นี่คือ การถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตย
