อดีต สนช.สายนักกฎหมาย แถลงเตือนรัฐบาลฝ่ายทหาร และผู้เกี่ยวข้อง อย่าเรียกพื้นที่เขาพระวิหารเป็นเขตทับซ้อน เพราะเท่ากับยอมรับเขมรเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง เปิดช่องให้เข้ามาบริหารจัดการดินแดนของไทย ย้ำเขตสันปันน้ำไม่มีพื้นที่ทับซ้อน และเขาพระวิหารอยู่ในเขตไทยชัดเจน
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สายนักกฎหมาย กล่าวว่าหลักกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดแนวเขตแดนไว้ชัดเจนว่า พื้นที่ใดมีสันปันน้ำ ให้ถือสันปันน้ำเป็นหลัก น้ำไหลมาด้านประเทศไหนเป็นดินแดนของประเทศนั้น พื้นที่ใดเป็นร่องน้ำให้ถือร่องน้ำเป็นหลัก จากร่องน้ำขึ้นมาเป็นประเทศไหนเป็นดินแดนของประเทศนั้น จึงไม่มีพื้นที่ทับซ้อนในพื้นที่ที่มีสันปันน้ำหรือร่องน้ำ บริเวณเขาพระวิหารอยู่ในเขตสันปันน้ำของประเทศไทย เป็นดินแดนของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ จะเรียกพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้ ทุกฝ่ายควรระมัดระวังให้มาก เขมรจะหยิบฉวยเอาเป็นประโยชน์ได้ในวันข้างหน้า
นายไพศาล กล่าวอีกว่า ที่จะเรียกว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นผลจากกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะคือพื้นที่ในทะเลที่มีกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดว่าจากฝั่งทะเลออกไป 200 ไมล์ทะเล เป็นดินแดนของประเทศนั้น จึงทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกันได้ เพราะจากแนวชายฝั่งของไทยและของเขมร เมื่อลากออกมา 200 ไมล์ทะเล ก็จะทับซ้อนกัน จึงเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะว่าชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทยไม่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นโค้ง อาจมีการฉวยโอกาสเอื้อประโยชน์ให้กับเขมร โดยลากเส้นหลบพื้นที่ที่เป็นแหล่งทรัพยากรได้ จึงต้องจับตาดู
นายไพศาล กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายทหาร และฝ่ายต่างๆ ยังคงเรียกพื้นที่เขาพระวิหารว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบ นอกจากนี้กรณีที่เป็นข่าวอยู่นั้นจะต้องแยกให้ดีระหว่างสิ่งก่อสร้างกับพื้นดิน ศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวประสาทหลังใหญ่ให้เป็นของเขมร แต่ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นอีกมากที่เป็นของไทย นอกจากนั้นพื้นดินซึ่งเป็นที่ตั้งตัวปราสาททั้งหมดและบริเวณรอบนอกก็เป็นของไทยอยู่ จะต้องไม่ยอมให้ชาติใด ๆ เข้ามารุกรานหรือจัดการพื้นที่ในดินแดนไทยเด็ดขาด และเป็นเรื่องน่าดีใจที่กองทัพตื่นขึ้นมาแล้ว ซึ่งคงจะต้องทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามหน้าที่ต่อไป