“พล.ร.ท.อรุณ เสริมสำราญ” อดีตสายลับขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เผยประสบการณ์เพื่อชาติ เข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเขมร ด้าน “พล.ร.ท.ประทีป” เผยสถานการณ์ไทยเขมรเปลี่ยนไป พร้อมเรียกร้องให้ทหารเป็นหนึ่งเดียว
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "รู้ทันทหารไทย"
วันนี้ (13 ก.ค.) เมื่อเวลา 17.30 น. พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ดำเนินรายการรู้ทันทหารไทย โดยในรายการได้เชิญ พล.ร.ท.อรุณ เสริมสำราญ อดีตรองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเคยปฎิบัติหน้าเป็นสายลับในประเทศกัมพูชาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยในรายการ พล.ร.ท.อรุณ ได้เล่าประสบการณ์ในช่วงที่ตนเองได้ปฏิบัติหน้าที่ว่า ตนเองนั้นเป็นเหมือนดาบเล่มหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ในการปฏิบัติการในประเทศกัมพูชา เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศกัมพูชา ซึ่งต้องใช้ความกล้าและความสามารถอย่างมาก รวมถึงต้องลาออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคนที่จะเป็นสายลับนั้นต้องมีความรักชาติ แม้รู้ว่าตนเองจะต้องตายก็ตาม
ทั้งนี้ พล.ร.ท.อรุณ ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ตนเองเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศกัมพูชา ครั้งหนึ่ง ตนเองถูกจับได้และถูกส่งตัวไปที่อำเภอพระตะบองเพื่อออกข่าว ซึ่งในช่วงเวลานั้นทั้ง 2 ประเทศต่างรู้ถึงความเคลื่อนไหวของของกันและกันว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่อย่างไรก็ตามในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายไทยต้องอย่าให้เค้ารู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ และเมื่อครั้งหนึ่งทหารฝ่ายกัมพูชาได้พูดล่วงเกินถึงสถาบันสูงสุด ตนเองจึงได้ถุยนํ้าลายใส่หน้าคนผู้นั้น
พล.ร.ท.อรุณ ยังเล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อครั้งที่ถูกจับขังอยู่กับลูกน้อง 2 คน โดยคนหนึ่งบอกว่าให้ พล.ร.ท.อรุณ หนีเอาตัวรอดไปก่อน ตนเองจะอยุ่ที่นี่เอง แต่ พล.ร.ท.อรุณ บอกกับลูกน้องคนนั้นว่าเราจะไปตายเอาดาบหน้าด้วยกัน แต่ในขณะนั้นทหารไทยได้ยึดศูนย์สื่อสารของกัมพูชาได้แล้ว
นอกจากนี้ พล.ร.ท.อรุณ ยังได้กล่าวถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยว่า ตนเองนั้นเสียใจมากที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ไม่ได้มีใจเป็นทหารแต่อย่างใด
ขณะที่ พล.ร.ท.ประทีป กล่าวถึง พล.ร.ท.อรุณ ว่าการปฏิบัติหน้าที่ พล.ร.ท.อรุณ นั้นเป็นการกระทำที่มีความเสียสละอย่างมากต่อประเทศชาติ และเป็นการทำหน้าที่ที่แตกต่างจากทหารในสมัยนี้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าทหารในอดีตที่ผ่านมามีความเก่งกล้ามาก รวมทั้งยังเป็นการบอกให้ทหารในปัจจุบันรู้ว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นทหารควรจะกระทำอย่างไรบ้าง และประการสุดท้ายนั้น สถานการณ์ของประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาในขณะนี้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นเรื่องของดินแดน กลับกลายเป็นเรื่องของอธิปไตยของชาติ ดังนั้นจึงฝากไปถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายว่าขณะนี้ทหารนั้นไม่มีฝักมีฝ่ายแล้ว