xs
xsm
sm
md
lg

“ปฐมพงษ์” ย้ำขึ้นเวทีพันธมิตรฯ สุดทนพวกหมิ่นในหลวง-ทำเสียดินแดน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พล.อ.ปฐมพงษ์” เปิดใจ หน้าลานพระรูป เหตุขึ้นเวทีพันธมิตรฯ รับไม่ได้กับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และสูญเสียดินแดน ระบุ ทำหน้าที่ทหารพระเจ้าอยู่หัว เคยลงดูพื้นที่ส่งข้อมูลถึง ผู้บังคับบัญชา ผบ.3 เหล่าทัพ แล้ว แต่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มีใครตอบ จึงต้องขึ้นปราศรัย ยันใส่เครื่องแบบขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เพราะเป็นเรื่องสง่างาม ไม่ใช่ไปเที่ยวซ่อง รีดไถ ย้ำไม่คิดเล่นการเมือง ไม่ดึง “ป๋า” มาเกี่ยวข้อง ลั่นไม่เสียดายชีวิต หากได้ฆ่าไอ้พวกขายชาติ-หมิ่นในหลวง อัด “ไข่แม้ว” อย่าเหิมเกริม


คลิก! ชม “พล.อ.ปฐมพงษ์” ให้สัมภาษณ์(56K) |(256K)

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (10 ก.ค.) พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด เปิดแถลงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ถึงความชัดเจนกับข้อครหาการใส่เครื่องแบบทหารขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ตนจะไม่ตอบโต้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นโดยตรง ทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ทั้งนี้ ตนจะพูดในประเด็นหลักๆ คือ การที่ออกมาในที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะ 1.รับไม่ได้ที่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2.รับไม่ได้เกี่ยวกับการที่จะมีผลกระทบต่ออาณาเขตดินแดนพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เอกราชอธิปไตย เป็นประเด็นที่ตนจะต้องออกมาพูดในเวทีพันธมิตรฯ

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า ได้เคยรายงานเกี่ยวกับเรื่องอาณาเขตดินแดนที่จะเกิดปัญหาเมื่อมีการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร ตนได้ไปดูในพื้นที่ในวันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ และเมื่อกลับมากรุงเทพฯ ก็ได้รายงานทันทีในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้รีบพิจารณาดำเนินการจัดการประชุมระหว่างกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกรณีการขอขึ้นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร โดยรัฐบาลกัมพูชา และสุดท้ายของการเสนอหนังสือปัญหาในฐานะที่ขณะนั้นเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ก็ลงท้ายว่า มีผลเป็นประการใดขอให้แจ้งให้ทราบด้วย แต่หลังจากวันที่ 15 ก.พ.ไม่มีใครตอบมาเลย

ระบุทำหน้าที่ทหารของพระเจ้าอยู่หัว

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า หลังจากนั้น ก็มีเรื่องเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็อึดอัดใจเต็มที เพราะว่าได้ศึกษาด้วยตัวเอง ดูจากเว็บไซต์ อ่านจากบันทึกของสื่อมวลชน ขณะเดียวกัน ปัญหาเขาพระวิหารเริ่มปะทุ ซึ่งตนในฐานะทหารในกองทัพบกขณะนั้นในตำแหน่งเลขานุการกองทัพบก ได้ลงพื้นที่ พบว่า หากไม่มีใครท้วงติงจะเกิดปัญหาแต่ด้วยวิสัยของการเป็นทหารจึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุดในวันเดียวกัน คือ วันที่ 18 มิ.ย.2551 ถึงปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.กองบัญชาการทหารสูงสุด ผบ.3 เหล่าทัพ และหนังสือถึงแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้ง นายสุริยะใส กตะสิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ

“ขอให้ทุกคนพูดออกมาเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เรายอมไมได้ในเรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรายอมไม่ได้ในเรื่องของการให้เสียดินแดน เพราะแต่ละนิ้วเราจะเดินไปดูว่าใครจะล้ำมาบ้าง กับระเบิด กำลังของฝ่ายตรงข้าม ที่จะยิงเรา ดังนั้น เรื่องพวกนี้จะเจรจากับแบบงุบงิบไม่ได้ คุณต้องเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบว่า แผ่นดินทุกตารางนิ้วเป็นของคนไทยทุกคน และไม่ใช่คนปัจจุบันนี้ คนในอดีตที่ตายมาไม่รู้เท่าไหร่ คนในอนาคตอีก ถ้าเสียไปแล้วจะตีเอาคืนมันคงไม่ตาย เป็นร้อยหรือหมื่น แต่มันจะตายเป็นแสนคน เพราะทุกคนก็รักดินแดนดังนั้น จึงคิดว่า ถ้าไม่มีใครพูดอะไรเลยพวกที่เหิมเกริมก็จะถือว่าไม่มีใครคัดค้านเช่นเดียวกับที่ว่า เราไม่เคยคัดค้านกรณีของปราสาทพระวิหาร ปล่อยให้เขายึดฝ่ายเดียว อันนี้คือสิ่งที่ได้ดำเนินการชี้แจงในหนังสือฉบับนั้น”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ตนได้ทำแล้วในฐานะประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด เมื่อยังเงียบกันอยู่ ไม่ใช่สักว่าจะทำไปแล้วหยุดวันที่ 19 มิ.ย.2551 ตนยังทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรี เพื่อชี้แจ้งให้ทราบว่า เรื่องต่างๆ พวกนี้ได้ดำเนินการมาแล้วโดยแจ้งให้เหล่าทัพ พันธมิตรฯ ทราบเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเรื่องอาณาเขตของพระมหากษัตริย์เขาพระวิหาร

“ไม่มีใครตอบ ยกเว้นประธานองคมนตรี โดย พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ตอบมาในวันที่ 21 มิ.ย.ว่า ท่านรับทราบ และอ่านรายละเอียดและลงบันทึกมาว่า นี่เป็นการตอบแทนบุญคุณอย่างหนึ่ง ผมพยายามที่จะให้สัมภาษณ์ชี้แจงผ่านสื่อ แต่กลับไม่ใส่ใจที่จะให้ผมสัมภาษณ์ ผมจึงประสานมายัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ว่า ผมจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ เพราะไม่เช่นนั้นทุกคนจะคิดว่า ทหารทุกคนไปไหนกันหมด ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.จนมาถึงวันที่พูดบนเวทีพันธมิตรฯ เพราะเวทีพันธมิตรฯ จะต้องมีการจัดอันดับการพูด”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อขึ้นไปพูดก็กลับมาใส่ใจในเรื่องเครื่องแบบ ว่า แต่งเครื่องแบบขึ้นไปพูดได้หรือไม่ ตนชี้แจงว่า เครื่องแบบนั้นเป็นเรื่องที่มีเกียรติ ประชาชนที่เข้ามาชุมนุมก็มาตามรัฐธรรมนูญ ตนเป็นนายทหารเป็นนาย พล.อ.เป็นราชพัลลภพิเศษอัตราจอมพล ที่ตนดำรงอยู่ก็มีเกียรติ การแต่งเครื่องแบบไปพูด จึงเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แต่งเครื่องแบบไปเที่ยวซ่อง แต่งเครื่องแบบไปรีดไถรถตู้ คุมบ่อน อย่างนั้นถึงไม่ควรแต่ง อย่างนี้มันต้องสง่างาม ไปหัวหดทำไม

ดังนั้น จึงเห็นว่า ตนได้ทำตามบนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญตามมาตรา 70 และมาตรา 77 ว่าด้วยหน้าที่ของปวงชนชาวไทย และอำนาจแห่งรัฐของความมั่นคงแห่งรัฐและทหาร เพราะฉะนั้นตรงนี้ เป็นสิ่งที่เรากระทำได้ ดังนั้น เรื่องระเบียบหรือกฎกระทรวง ทั้งหลายขอให้เข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นระเบียบคำสั่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ระเบียบ คำสั่ง กฎกระทรวง จะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญไมได้ เพราะเป็นกฎหมายสูงสุด และทุกคนก็มีสิทธิที่จะแสดงออกภายใต้รัฐธรรมนูญ

“ขอให้ออกมาพูดหากมีความรู้ ถ้าไม่มีความรู้ก็หาความรู้และเอาใจใส่ ถ้าไม่พูดก็แสดงว่าไม่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนด และไม่ทำหน้าที่ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และธงชัยเฉลิมพล และพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งพวกเราได้สวนสนามตรงนี้”

ลั่น! ยอมตาย หากได้ฆ่าไอ้พวกขายชาติ

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่ผู้บังคับบัญชา จะดำเนินการอะไร เป็นอำนาจหน้าที่ที่เขาจะต้องพิจารณาว่า สิ่งที่ตนกระทำมีเรื่องอะไรบ้างที่ถือว่าผิด ก็ว่ากันไป ตนจะไม่ตอบโต้ผู้บังคับบัญชา ตนจะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่คำสั่งนั้นจะต้องถูกต้องตามกฎหมายและความเป็นธรรม เพราะในการปฏิญาณตนนั้นมีอยู่ข้อหนึ่ง “ข้าพเจ้า จะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด และจะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม” เราเป็นนาย และมีผู้บังคับบัญชา ต้องคิดถึงสองอย่าง คือ ฟังข้างบน และให้ความเป็นธรรม ถ้าเป็นทหารที่แท้ต้องชัดเจนว่า ทำอะไรอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมามันเงียบเกินไป

นอกจากนี้ ตนขอยืนยันด้วยว่า ตนไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่มีการกล่าวหาแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเป็น สนช.ครั้งเดียวก็ทำให้ชีวิตมัวหมองแล้ว เพราะชีวิตตนไม่เหมาะที่จะเป็นนักการเมือง ตนไม่ต้องการที่เล่นการเมือง ไม่เคยมีความคิด ชีวิตนี้มีเกียรติสูงสุดแล้วในชีวิตนี้ คือ การเป็นทหารรับใช้ชาติ สง่างามที่สุด ตนไม่เคยเห็นว่า จะมีนักการเมืองคนไหนที่จะสง่างามในสายตาแบบที่ตนจะคิดว่าจะเป็น ตนเป็นของตนถือว่าสง่างามที่สุดแล้ว ได้ทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่คิดว่า ตนจะไปเป็นนักการเมือง ไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัว ภรรยา (คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์) ที่เป็นนักการเมือง เคยบอกว่า ให้ออกมาอยู่ด้วยกัน เพราะตนก็รับไม่ได้กับสภาพการเมืองที่ไม่มีอะไรที่น่าประทับใจ มีการซื้อเสียง โกหก ปลิ้นปล้อน นี้คือ สิ่งที่ได้แสดงออกและขอให้เข้าใจว่า จะไม่มีอะไรที่ยับยั้งให้ตนไม่ให้ออกมาพูดเรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกป้องประเทศชาติ ส่วนชีวิตในบั้นปลายออกจากทหารตนก็จะไว้ผมยาว ขี่รถชอปเปอร์ท่องเที่ยวเอาแค่นี้พอ

“ชีวิตตายได้เพื่อสองอย่างนี้ และไม่เสียดายด้วย ถ้าจะต้องเสียชีวิต เพราะว่าไปฆ่าไอ้พวกที่มันหมิ่น หรือเอาดินแดนไปขาย จำไว้เลย บอกไว้ทั่วกันว่า ไม่เสียดายชีวิต ถ้าเผื่อว่า ฆ่าไปพวกนั้นให้ตายให้หมด หรือไล่มันออกไปจากชาติบ้านเมืองให้หมด ผมพูดในฐานะที่ผมเป็นพลเอกแห่งกองทัพไทย ตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ถือว่าสูงสุดแล้วในอัตราจอมพล” พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าว

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับคนอื่นขอให้เห็นใจ ทั้ง ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพ ทุกคนมีกำลังพลที่จะต้องดูแล เพราะฉะนั้นตนเชื่อเหลือเกินว่า ตนรักชาติบ้านเมืองขนาดไหน อาจจะไม่ยิ่งหย่อน แต่บทบาทของการแสดงออกอาจจะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ตนมั่นใจว่า ณ วันที่เขาเข้าใจลึกซึ้ง ว่า มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วเขาก็จะออกมาเอง ส่วนตนทำในฐานะที่หน้าที่ของตนควรจะออกมาได้แล้ว ฐานะประธานคณะที่ปรึกษา กองบัญชาการทหารสูงสุด ที่ให้คำปรึกษาเมื่อทำหนังสือไปแล้ว คุณจะออกมาเมื่อไร แต่เราแนะนำไปแล้ว ไม่ใช่ว่า ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ เมื่อพวกคุณไม่ทำพวกคุณไม่พร้อมเราออกมาก่อนถือเป็นการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ไม่ต้องไปอ้างว่าเก่ง กล้าหาญ แต่ถ้าไม่ทำถือว่าขี้ขลาด เพราะถือทำตามหน้าที่จะถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ดังนั้นขอให้ออกมาแสดงออกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจักยอมตายเพื่อพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์เจ้า” การออกมาพูดก็แค่น้ำลายแห้ง คุณไม่กล้าแล้วจะกล้าเมื่อไร

“เมื่อเริ่มต้นจากจุดนี้ (ปราสาทพระวิหาร) กาบเชิง มันจะเอาอีก ปราสาทโดนตรวน มันจะเอาอีก เราจะยอมมันเหรอ ผมไม่ใส่ใจว่า เป็นเพื่อนกันยอมได้ แต่เพื่อนจะเผาเรือน ผมยอมไม่ได้ ซึ่งยังมีจุดที่เราจะสูญเสียอีกเยอะ”

อัด “ไข่แม้ว” อย่าเหิม

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า กรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ให้ผู้บังคับบัญชาเอาผิดทางวินัย ว่า อย่ามาหยาม อย่ามาเหิมเกริม นายณัฐวุฒิ ไม่มีสิทธิที่จะคอมเมนต์ตน ขอให้เย็บปากไปเลย และขอบอกตรงๆ ว่า จะให้ตนไปเจอที่ไหนก็ได้ อย่ามาหยามในเรื่องที่ตนพูด

“ไม่มีคำสั่งใดๆ ที่ให้ทหารห้ามพูดในเรื่องที่มีผู้ออกมาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใครสั่งอย่างนั้นก็บ้าเต็มที ใครสั่งอย่างนั้น ผมจะไปตัดคอมัน เรื่องดินแดนก็พูดแสดงความรู้ความเห็นได้ โดยเฉพาะในเรื่องการเสียดินแดน สิ่งที่ ณัฐวุฒิ ออกมาพูดก็เหมือนกับยุให้แยงตะแคงให้รั่ว ผมไม่คิดว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหาร”

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายนพดล ได้ประกาศลาออกแล้วถือเป็นการรับผิดชองหรือไม่ พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า การลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ต้องว่าไปว่าสังคมไทยมองอย่างไร รัฐสภามองอย่างไร พรรคร่วมรัฐบาลมองอย่างไร ถือเป็นกระบวนการที่จะว่ากันไป

เมื่อถามว่า แสดงว่า พร้อมที่จะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในเครื่องแบบอีกครั้ง เพื่อให้ข้อมูลกับประชาชน พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจที่จะขึ้นเวทีที่ไหน ตราบใดที่ไม่ทำให้เครื่องแบบเสื่อมเกียรติ เครื่องแบบของตนสง่างามตลอด ไม่ใช่แต่งไม่ได้ ดังนั้น จะขึ้นเวทีอีกหรือไม่จะต้องดูเหตุการณ์และเหตุผล ไม่ใช่ขึ้นเวทีเพื่อต้องการแต้มทางการเมือง ตนไม่ชอบ

เมื่อถามว่า การขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าได้รับไฟเขียวจากประธานองคมนตรี พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ไม่มี ตนไม่เคยพบท่าน และไม่เคยคิดที่จะดึงใครมาเกี่ยวข้องด้วย ทุกวันนี้ทำอะไรแล้วก็มาคิดบัญชีกับตนได้ ไม่ว่าตนจะไปรับ คุณสุนัย (สุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ ป.ป.ท.) หรือใคร ก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปใส่ใจว่าใครไปรับ ตนผิดเหรอที่จะดูแลคนดีๆ สักคน อย่าว่าแต่ท่านสุนัยเลย แม้แต่ลูกน้องลงเครื่องมาจะถูกใส่กุญแจมือ ตนก็จะไปรับ เพราะฉะนั้นไม่มีใครไฟเขียวทั้งสิ้น ไฟเขียวตนมีตลอดเวลา คือ ยอมไม่ได้ที่จะมีคนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันนี้มีไฟเขียวติดตลอด





กำลังโหลดความคิดเห็น