“พันธมิตรฯ” เตรียมรับมือข้าราชการ ศธ.เครือข่ายทักษิณขู่ฟ้องแพ่ง อัด"ปองพล"ปากว่าตาขยิบ ต้องร่วมรับผิดชอบไทยสูญเสีย"พระวิหาร" จี้รัฐบาลเปลี่ยนท่าที หลังมีทหารขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ระบุสถานการณ์เปราะบาง อาจเกิดรัฐประหารได้จากกรณียกอธิปไตยให้ต่างชาติ เย้ย"หมัก"สภาโจ๊ก 2 หนีคำถามสื่อไปพูดในรายการคนเดียว
วันนี้ (9 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวถึงกรณีที่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ จะล่ารายชื่อเพื่อฟ้องศาลแพ่ง ให้มีการเปิดถนนหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยื่นฟ้องแต่อย่างใด และในขณะนี้เราได้เตรียมทีมทนายความ เพื่อประสานกับทางเจ้าหน้าที่ศาลแพ่งแล้ว ทันทีที่มีการยื่นฟ้อง เราจะทำการร้องคัดค้าน เพราะในกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในอำนาจของศาลแพ่ง แต่น่าจะเป็นอำนาจของศาลปกครอง ข้อพิพาทในกรณีนี้นั้นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานครฯ เป็นผู้ฟ้องร้อง
สำหรับการเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ ของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น เท่าที่สอบถามกับผู้ชุมนุมทราบว่า หลายคนจะไปต้อนรับที่สนามบิน แต่ไม่ใช่มติของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ และตนเองคงไม่ไป อย่างไรก็ตาม คงห้ามความรู้สึกของประชาชนไม่ได้ เพราะผลที่ออกมานั้นทำให้คนผิดหวัง ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ บางพลีและสมุทรปราการจะไปต้อนรับ
นอกจากนี้ ในกรณีนี้ นอกจากนายนพดล กับรัฐบาลต้องรับผิดชอบแล้ว อีกคนที่ต้องรับผิดชอบ คือ นายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมรดกโลก เพราะก่อนที่จะเดินทางไปนั้น นายปองพล เดินทางไปด้วยท่าทีที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้ปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว แต่เมื่อไปถึงกลับเปลี่ยนไป ปากว่าตาขยิบ ดังนั้น นายปองพล ควรลาออกจากการเป็นประธานกรรมการมรดกโลกของไทย โดยจะลอยตัวไม่ได้
ส่วนกรณีที่ พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา กองบัญชาการทหารสูงสุด ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ รวมทั้ง พลเอกปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ อดีตแม่ทัพภาค 4 ขึ้นเวทีด้วยนั้น ที่จริงแล้วมีทหารเข้าออกเวทีพันธมิตรฯ อยู่แล้ว ทั้งในและนอกเครื่องแบบ แต่ไม่ปรากฏตัว ซึ่งภาพที่พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ สวมเครื่องแบบเต็มยศขึ้นเวทีนั้น รัฐบาลต้องไปขบคิด ไม่ใช่ไปสอบวินัย พลเอกปฐมพงษ์ และยังอาจมีอีกหลายคน เพราะทหารตอนนี้ไม่พอใจ โดยเฉพาะกรณีเขาพระวิหาร ที่ฝ่ายการเมืองล้วงลูกกองทัพ
ส่วนผู้บัญชาการเหล่าทัพหลายคนไม่พอใจ ถือเป็นสัญญาณให้ฝ่ายการเมืองต้องทบทวน หากยังดันทุรังต่อไป อาจเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารได้ เพราะการเมืองในขณะนี้เปราะบางมากกว่าก่อนเกิดรัฐประหารเมื่อปี 2549 เพราะไม่ได้มีแต่การทุจริตคอร์รัปชัน หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น แต่มีเรื่องการสูญเสียอธิปไตยด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขเปิดช่องให้เกิดการรัฐประหารตลอดเวลา โดยการลากการใช้อำนาจตัวเองออกไป มองแล้วไม่มีความหวังและไม่มีประโยชน์
และที่ตนเองไม่สบายใจมาก คือ เมื่อเช้าวันนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะไม่รับผิดชอบอะไรและจะทำงานต่อ ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ให้ฟังรายการสนทนาประสาสมัคร ในวันอาทิตย์นั้น เป็นท่าทีที่เป็นคาถาของนายสมัครไปแล้ว คือ ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนแต่ไปเป็นผู้ตอบฝ่ายเดียวในรายการตัวเอง ซึ่งกลายเป็นสภาโจ๊กสอง ไปแล้วไม่มีสาระไม่มีคำตอบให้เป็นเรื่องมีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ
สำหรับการยื่นถอดถอนผู้พิพากษาศาลแพ่งนั้น ขณะนี้ยุติท่าทีไปแล้ว เป็นการทบทวนท่าทีโดยการฟังเสียงของประชาชน เพราะหลังจากประกาศออกไป มีความเห็นจากแนวร่วมหลายฝ่าย ที่แสดงความไม่เห็นด้วยเข้ามาเราจึงยุติ
ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้มติคณะรัฐมนตรีที่รับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-เขมร ขัดมาตรา 190 นั้นพันธมิตรฯ มีท่าทีอย่างไรนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ฝ่ายค้านและ สมาชิกวุฒิสภามีการดำเนินการอยู่แล้วคงไม่ต้องถึงพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ สถานการณ์จากนี้ไป รัฐบาลจะใช้ไม้ตายสุดท้ายโดยพรรคพลังประชาชน หากเสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญกลับมาอีกครั้ง โดยมีมาตรา 237 กับ 309 แต่ที่น่าสังเกตการยื่นญัตติครั้งที่แล้วนั้น มีมาตรา 190 เข้าไปด้วย โดยมีใจความว่าให้การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศไม่ต้องผ่านสภา