“สนธิ” ย้อนประวัติศาสตร์อันคั่งแค้นที่ไทยต้องสูญเสียปราสาทพระวิหารในอดีต แฉ “นพดล” แอบไปลงนามขายชาติยกให้เขมรไปตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.แล้ว และมีผลสมบูรณ์แล้ว ชี้ถ้ายูเนสโกไฟเขียวจะทำให้ไทยต้องเสียพื้นที่โดยรอบอีก 2.5 ตารางกิโลเมตรไปด้วย ระบุถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคนพวกนี้จะต้องตายทั้งคณะถึงจะสาสม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (3 มิ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีโดยได้เปิดเทปบันทึกรายการยามเฝ้าแผ่นดินที่ออกอากาศ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยการก่อสร้างประสาทพระวิหารในยุคขอมโบราณที่ไม่ใช่คนเขมรในปัจจุบัน จนกระทั่งมาถึงในยุคที่ไทยต้องพ่ายแพ้คดีในศาลโลก เมื่อ 46 ปีก่อน แต่ไทยก็สงวนสิทธิ์ในการเป็นมีกรรมสิทธิ์ครอบครองปราสาทพระวิหารมาตลอด
นายสนธิ ย้ำว่า ที่ผ่านมาไทยได้เสนอขอให้มีการพัฒนาร่วมกัน และถ้าขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต้องก็ต้องเสนอร่วมกัน เนื่องจากถ้ายอมให้กัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวจะทำให้ต้องสูญเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรไปด้วย
“ต้องบอกว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ต้องโทษขายชาติ และต้องติดคุกทั้งคณะ” นายสนธิ ระบุ พร้อมทั้งย้อนอดีตให้ฟังอีกว่า ในการก่อสร้างในยุคโบราณต้องสร้างจากฝั่งไทยเพราะฝั่งกัมพูชาเป็นภูเขาสูง และที่สำคัญคนไทยเป็นคนค้นพบปราสาทพระวิหาร ซึ่งคนที่ค้นพบดังกล่าวคือ กรมหลวงสรรพสิทธิ์ฯ พระโอรสในรัชกาลที่ 5 ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลภาคอีกสานเมื่อกว่าร้อยปีก่อน และยังมีการจารึกชื่อปรากฏเอาไว้ชัดเจน
นายสนธิ ยังได้ยกตัวอย่างการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งไทยได้เคยครอบครองปราสาทพระวิหารมานานกว่าร้อยปี จนกระทั่งมาถึงยุคที่กัมพูชาได้ร้องศาลโลกในยุคของเจ้าสีหนุซึ่งมีความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจนักล่าอาณานิคม และการตัดสินก็ออกมาเป็นมติ 9 ต่อ 3 จะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นเอกฉันท์ และรัฐบาลไทยในอดีตก็ไม่ได้ยอมรับมตินี้ โดยได้ยื่นขอสงวนสิทธิ์ในประสาทพระวิหารมาตลอด
นายสนธิ เปิดโปงอีกว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา นายนพดล ปัทมะ ได้แอบไปเจรจาตกลงให้กัมพูชายื่นจดทะเบียนเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ถามว่าทำไมไทยไม่ยื่นร่วมกันไปด้วย มันจะหนักกบาลหรือเสียหายตรงไหนไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ไม่ยื่นพร้อมกันเนื่องจากมีเบื้องหลัง และต้องการให้เกิดแผนที่ใหม่ที่จะทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นของไทยต้องเสียไปด้วย
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า หลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งระงับการดำเนินการในแถลงการณ์ร่วมฯและให้คณะรัฐมนตรียุติการรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว แต่ถ้าสังเกตให้ดีหลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลกลับทำท่าเฉยเมยไม่กระตือรือล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสมัคร สุนทรเวช ใช้วิธีโทรศัพท์ไปถึงนายฮุนเซน แทนที่จะใช้วิธีส่งเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้ นายนพดลเพิ่งส่งคำสั่งศาลปกครองไปถึงองค์กรยูเนสโกในวันที่ 2 ซึ่งเป็นที่เริ่มพิจารณาเรื่องปราสาทพระวิหารกันแล้ว อยากถามว่าในวันที่ 28-29-30 มิ.ย.ถึงวันที่ 1 ก.ค.มัวไปทำอะไร มิหนำซ้ำนายนพดล ยังได้แอบไปทำสัญญายินยอมให้กัมพูชาไปตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ก่อนหน้านี้ไปแล้ว ทำให้ยูเนสโกยึดถือในการลงนามดังกล่าวรวมทั้งมติครม.ก่อนหน้านี้และถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว
“ถ้ายูเนสโกบยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและกินอาณาบริหารพื้นที่โดยรอบเนื้อประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรของไทยไปด้วย นายสมัคร นายนพดล และครม.ทั้งคณะ รวมทั้งเจ้ากรมแผนที่ทหาร อธิบกรมสนธิสัญญานอกจากจะต้องติดคุกหรือโดนประหารชีวิตในข้อหาขายชาติแล้วยังต้องตายพร้อมกันด้วย” นายสนธิ ระบุ
แกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้ย้ำว่า ในยุคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันทรงครองราชย์มาถึง 62 ปี ยังไม่เคยเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่ต้องมีสูญเสียเพราะพวกจัญไรพวกนี้ และฝากไปถึงพี่น้องภาคอีสาน ให้รู้ว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคขายชาติ อย่าลืมพวกคนเหล่านี้เป็นอันขาด