ผู้นำฝ่ายค้านซักซ้อมความพร้อมขุนพลชำแหละประเด็นเขาพระวิหาร ชี้ความขัดแย้งเกิดจากน้ำมือรัฐบาล อย่าป้ายสีพันธมิตรปลุกระดม ด้านหุ่นเชิดมั่นใจพรรคร่วมเหนียวแน่นไม่มีแตกแถว
วันนี้ (24 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และ 159 ของรัฐธรรมนูญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตร ีและ 7 รัฐมนตรี โดยได้มีการเรียกทีมอภิปรายนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เข้าหารือเพื่อเตรียมความพร้อมการอภิปรายประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งยืนยันว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากรัฐบาลที่ดำเนินการโดยไม่เปิดเผย ไม่ใช่มาจากการปลุกระดมต่อต้าน
โดยการอภิปรายในวันนี้จะชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศมีแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว แต่ทางรัฐบาลกลับมาเปลี่ยนแปลงในภายหลังในช่วงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายน จึงอยากให้รอฟังข้อมูลการอภิปรายในวันนี้ และไม่คาดหวังว่าการอภิปรายจะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง แต่อยากให้การอภิปรายแล้วใช้สำนึกก่อนจะลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ด้าน นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานวิปรัฐบาล ยืนยันว่า จากการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องเสียงแตก และจะมีมติร่วมกันในการสนับสนุนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทุกคน และไม่มีประเด็นใดที่จะชี้แจงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้รอดูผลการโหวตในวันนี้ พร้อมเชื่อมั่นว่า นายชัย ชิดชอบ จะคุมเกมการอภิปรายได้
สำหรับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี มีข้อกล่าวหา 9 ข้อ คือ 1.ใช้อำนาจสนองตอบและรับใช้อดีตนักการเมืองที่เสียประโยชน์อย่างโจ่งแจ้งไม่ลืมหูลืมตา และไม่ใส่ใจต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในบ้านเมือง ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองที่สังกัด แต่งตั้ง ครม. และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามโควต้า ตามความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ในพรรคการเมือง
2.นำบุคคลที่ไม่มีวุฒิภาวะขาดความรู้ความสามารถ มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลการเมือง นักเลงโต เป็นสมุนรับใช้นักการเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์ รวมถึงบริวารของผู้กว้างขวาง เข้าดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
3.บกพร่องอย่างร้ายแรง ปล่อยปละละเลยให้ ครม.ร่วมรัฐบาลบริหารงานตามอำเภอใจ ไม่มีความเป็นเอกภาพไร้ทิศทาง มุ่งแต่สร้างภาพของตนเอง จนทำให้การบริหารนโยบายล้มเหลว เอาผลประโยชน์ส่วนตัวจนหมิ่นเหม่กระทบต่ออธิปไตยของชาติ มีวาระซ่อนเร้น ใช้อำนาจแทรกแซงโยกย้ายกลั่นแกล้งข้าราชการ และองค์กรที่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
4.มีการใช้ข้าราชการล้างแค้นบุคคลและองค์กรที่ตนไม่พอใจ ทำลายระบบคุณธรรม จริยธรรม ลุแก่อำนาจโดยท้าทายกฎหมายบ้านเมือง เพื่อปกป้องการกระทำผิดของอดีตนักการเมืองผู้สูญเสียอำนาจ แต่นายสมัคร กลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
5.แสดงท่าที่ปกป้องให้ท้ายผู้ใต้บังคับบัญชา ที่กระทำความผิดอย่างออกนอกหน้า แม้รัฐมนตรีมีทัศนคติอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
6.บริหารประเทศไปเพียงวันๆ ไม่สนใจการแก้ปัญหาวิกฤตปากท้องของประชาชน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ประชาชนเกิดความเครียดวิตกกังวลจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
7.ในฐานะ รมว.กลาโหม ทอดทิ้งและไม่ใส่ใจกับความเดือดร้อนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ไม่เร่งแก้ไขปัญหา แต่นายสมัครกลับทำเป็นหูทวนลม ปล่อยให้วิกฤตบานปลาย และยากแก้ไข
8.ในขณะที่ปัญหาของประเทศลุกลามบานปลายถึงขั้นวิกฤต แต่นายสมัครกลับเมินเฉย มองข้ามโดยการพยายามรวบรัดแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณและลบล้างบทลงโทษในคดีที่พรรคการเมืองของตนเองกระทำผิดไว้ ในการเลือกตั้ง
9.นายกฯ แสดงออกต่อสาธารณะอย่างไร้วุฒิภาวะผู้นำ บกพร่องทั้งวาจาและทัศนคติ ใช้โมหะคติ เอาอารมณ์เป็นเจ้าเรือน พูดท้าทายข่มขู่สื่อมวลชน ประชาชนตลอดเวลา เป็นชนวนให้วิกฤตขัดแย้งในบ้านเมืองขยายตัวไม่มีที่สิ้นสุด
“4 เดือนเศษที่ผ่านมา พฤติกรรมของนายกฯ ทั้งหมดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อระบบราชการแผ่นดิน ระบบคุณธรรม จริยธรรม ความสามัคคีของคนในชาติ การทุจริตคอร์รัปชัน วิกฤตปากท้อง วิกฤตความมั่นคง ลุกลามจนยากแก้ไข สถาบันสำคัญของชาติถูกสั่นคลอน กระทบต่อเสถียรภาพโดยรวม”
ส่วนอีกญัตติหนึ่งเป็นการยื่นอภิปรายรัฐมนตรีรวม 7 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ซึ่งมีข้อกล่าวหาว่า บริหารงานไร้ประสิทธิภาพ ไม่ใช้ระบบคุณธรรม มีการใช้อำนาจบีบข้าราชการสนองตอบการเมืองเอื้อผลประโยชน์ให้กับอดีตนักการเมืองที่เสียผลประโยชน์ ญัตตินี้มีความยาว 2 หน้ากระดาษ