“ดร.ปราโมทย์” ไม่อยากเห็นประวัติซ้ำรอย แนะ “เป็ดเหลิม” ให้กลับไปศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะ ม.69 เรื่องสิทธิเสรีภาพ เตือนผู้ว่าฯทั่วประเทศให้คิดให้ดี อย่าบ้องตื้นเชื่อคำสั่งจากปาก “เหลิม” ที่พูดเลื่อนลอยไปตามสายลม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ปราศรัย
วันนี้ (13 มิ.ย.) เวลา 18.30 น.ที่เวทีสะพานมัฆวานฯ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า ทีมาในวันนี้เพราะมาใช้บาป บาปที่ครั้งนั้นตนเคยขับไล่มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเคยไปพังทำเนียบทำให้สามารถไล่เผด็จการคณะหนึ่งออกไปจากตำแหน่งได้ แล้วทำให้ได้เผด็จการขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นเผด็จการขึ้นกว่าเดิม เป็นบาปของตนจึงไม่อยากให้ประวัติซ้ำรอยกับพี่น้องในการขับไล่เผด็จการพลเรือนแล้วได้เผด็จการกลับมายิ่งกว่าจะได้ไม่ต้องใช้บาปอีก
ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม น่าจะลืมอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรหนึ่งไป ซึ่งเป็นมาตรา 69 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 50 ที่มีใจความว่าบุคคลย่อมมีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ จึงอยากจะให้ร.ต.อ.เฉลิมกลับไปอ่านรัฐธรรมนูญนี้อีกรอบ ซึ่งแท้ที่จริงพวกเราเผลอไป พวกเรามัวแต่เผลอกับการเลือกตั้ง ตื่นเต้นกับพรรคฝ่ายค้าน ตื่นเต้นกับการมีรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งลืมไปว่ารัฐบาลที่มีอยู่นี้เป็นรัฐบาลที่มิชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น
“การมิชอบด้วยกฎหมายของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องการคุกคามเสรีภาพ และสิทธิเสรีภาพการรับรู้ของประชาชน ตลอดจนสิทธิที่จะชุมนุมโดยสงบ และที่ต่างประเทศก็มีการชุมนุมคัดค้านกัน ซึ่งไม่มีรัฐบาลประเทศไหนนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นข้ออ้างว่าทำให้หุ้นตก ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย และไม่มีใครไปอ้างกฎหมายจราจร เพราะว่าใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาอ้างแบบนี้ได้ทำลายเศรษฐกิจมากกว่าการออกมาเรียกร้องของประชาชนเป้น 10 เท่า” ดร.ปราโมทย์ กล่าว
ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ตนได้วิเคราะห์จากคำบอกที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกคำสั่งให้ผู้ว่าฯปิดเคเบิลทีวี ซึ่งแท้ที่จริงนั้นมันไม่ได้เป็นคำสั่ง อย่าเพิ่งประฌามผู้ว่าฯ เพียงแต่เป็นการให้ผู้ว่าคิดดูว่าว่าเหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากเป็นการผิดกฎหมายให้จัดงานอย่าให้เปิดเอเอสทีวี แต่อันที่จริงท่านผู้ว่าฯน่าจะมีสมองที่โตกว่า ร.ต.อ.เฉลิม ถ้าเชื่อคำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิม ว่าชอบด้วยกฎหมาย ก็รับกรรมไปไม่สมควรเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอีกต่อไป เพราะท่านกำลังกระทำการคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อ ทำลายสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ของประชาชน ท่านต้องเป็นจำเลยในคดีรัฐธรรมนูญ ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาอีกด้วย อีกทั้งไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านปลัด เป็นเพียงคำพูดที่อวดอ้างไปตามสายไม่มีสาระเท่านั้นเอง
“ถ้าหากผู้ว่าราชการทั้งหลายเกิดบ้องตื้นทำตามคำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิม ผลที่จะกระทบไปทั่วโลก คือต่างประเทศจะต้องจ้องดู และเชื่อว่า รัฐบาลนี้คุกคามสื่อ นอกจากจะคุกคามสื่อแล้ว รัฐบาลนี้ยังใช้กลไกของรัฐอันเป็นกลไกของการปกครองเช่นเดียวกับตำรวจ ทำการคุกคามสื่อและสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ของประชาชน ซึ่งตนขอย้ำอีกครั้งว่าขอให้ท่านผู้ว่าราชการพินิจพิเคราะห์อย่าตามใจแล้วคิดว่าจะได้ดี หรือได้ตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมโดยไม่คำนึงถึงแบบแผนของระเบียบราชการ” ดร.ปราโมทย์ กล่าว